เมื่อกล่าวถึงจิตวิทยาและการลงทุนในเวลาเดียวกัน โดยส่วนใหญ่เรามักจะหมายถึง พฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีทฤษฎีที่เฉพาะเจาะจง หรือพิสูจน์ความถูกต้องได้ยาก ยังไม่มีผู้ใดที่เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการลงทุนโดยตรง เนื่องจากแต่ละคนมีพฤติกรรมแตกต่างกันไป แต่ถ้านักลงทุนจำนวนมากมาอยู่ในตลาด ความคิด ความอ่านคล้ายกัน พฤติกรรมลงทุนจะสอดคล้องในลักษณะเดียวกัน เราเรียกว่า “จิตวิทยามวลชน”
คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเข้าใจจิตวิทยาการลงทุนมากนัก โดยเฉพาะนักลงทุนมือใหม่ และเชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยที่เป็นนักลงทุนที่อยู่ในตลาดมานานนับ 10 ปี โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ลงทุนมาพอสมควร และต้องรู้จักสังเกตความเคลื่อนไหวของตลาดหรือราคาหุ้น "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด แต่ถ้ารู้จักตัวเอง รอดได้ในการลงทุนในตลาดหุ้น"
การลงทุนให้ได้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการนั้น เป็นเรื่องส่วนบุคคลของนักลงทุนแต่ละรายขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความพึงพอใจ อายุ ผลตอบแทนความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ข้อมูลการลงทุนเกี่ยวกับหุ้นของบริษัทในตลาด มีอยู่มากมาย แต่ทำไมนักลงทุนส่วนใหญ่จึงไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน ในขณะที่พบว่าการเรียนรู้และเข้าใจจิตวิทยาการลงทุน มีประโยชน์อย่างมาก และเป็นปัจจัยที่ทำให้กลายเป็นนักลงทุนที่ร่ำรวย จึงมีผู้เชี่ยวชาญการลงทุนบางคนมองว่า จิตวิทยาการลงทุนมีส่วนถึง 90% ต่อการประสบความสำเร็จ ในขณะที่ความรู้อื่นๆ มีส่วนเพียงแค่ 10% เท่านั้น ...ถึงแม้ว่าจะวัดคำนวณเป็นสัดส่วนไม่ได้ชัดเจนแต่ก็สะท้อนให้เห็นความสำคัญของเรื่องจิตวิทยาการลงทุนอยู่มากทีเดียว และน่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนเพียง 5-10% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในระยะยาว
นักลงทุนทุกคน ไม่มีใครที่ไม่ต้องการประสบความสำเร็จจากการลงทุน ดังนั้น เมื่อเข้าซื้อหุ้นใดก็ตาม ต่างก็ต้องการให้หุ้นที่ซื้อนั้นขึ้นทันที แม้จะไม่มั่นใจ 100% แต่ก็ไม่มีนักลงทุนคนใดปรารถนาให้หุ้นที่ซื้อราคาปรับตัวลง ดังนั้น เมื่อซื้อหุ้นด้วยความเชื่อมั่น ความเสี่ยงก็จะลดลง จึงควรหาศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนเข้าซื้อหุ้น ในขณะที่นักลงทุนที่ซื้อหุ้นด้วยการเก็งกำไร มักจะไม่ต้องการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับตัวหุ้น หรือบริษัทมากนัก เพียงแต่อาศัยจังหวะซื้อขายทางเทคนิคประกอบ และมักจะขายหุ้นเมื่อมีกำไรในช่วงสั้น และขายหุ้นออกทันทีเมื่อพบว่าเกิดความผิดพลาด
จิตวิทยาการลงทุนไม่ใช่เป็นการเรียนรู้พฤติกรรมของผู้นักลงทุนคนอื่น แต่เป็นการเรียนรู้พฤติกรรมการลงทุนของตัวนักลงทุนเอง หรือต้องหาความรู้จากจิตใจของตัวเองให้ได้ ก่อนที่จะหาความรู้อื่นๆ จากภายนอก
จัดการความโลภ และความกลัว
จิตวิทยาการลงทุนมักจะเกี่ยวข้องกับความโลภและกลัว 2 สิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดพฤติกรรมของนักลงทุน ซึ่งมักจะมีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน หรือล้มเหลวในการลงทุน
“ความโลภ” จะทำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นโดยไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ หรือมักจะไม่พอใจกับกำไรที่ได้แต่อยากได้กำไรมากขึ้นไปอีก ในขณะที่ “ความกลัว” ทำให้นักลงทุนขายหุ้นเร็วเกินไป
ความแตกต่างของนักลงทุนที่สำเร็จและล้มเหลว
สุภาษิตที่กล่าวว่า “ตาบอดคลำช้าง” ใช้ได้เช่นเดียวกันกับการลงทุน นักลงทุนพวกแรกมองว่าหุ้นที่ปรับตัวลงเป็นโอกาสดีที่จะซื้อได้ในราคาถูก แต่อีกพวกหนึ่งกลับมองว่าหุ้นที่ปรับตัวลง เป็นหุ้นที่กำลังแย่ มุมมองที่แตกต่างกัน
ของนักลงทุนจึงทำให้เกิดพฤติกรรมการลงทุนที่ล้มเหลวหรือสำเร็จ นี่เป็นบางตัวอย่างที่จะชี้ให้เห็นความแตกต่างของนักลงทุนทั้ง 2 กลุ่ม
นักลงทุนที่ล้มเหลวส่วนใหญ่ขายหุ้นตามผู้อื่น โดยเฉพาะในช่วงที่นักลงทุนอยู่ใกล้ตลาดมากเกินไป อาจทำให้เกิดเรารู้สึกว่าควรจะต้องขายหุ้นตามนักลงทุนส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะทำให้เขาขายหุ้นในราคาที่ลงเกือบจะต่ำสุดแล้ว ในขณะที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จส่วนน้อยที่มักจะมองหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาหุ้นถูกขายออกอย่างหนักและราคาหุ้นเริ่มต่ำเกินไปแล้ว และขายหุ้นในช่วงที่ราคาใกล้จะอยู่สูงสุด
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ต้องคิดแตกต่างจากนักลงทุนทั่วไป อย่างไรที่เรียกว่าแตกต่าง อย่างเช่น นักลงทุนส่วนน้อยที่มีความคิดว่าการลงทุนเป็นการทำธุรกิจ จึงทุ่มเทให้กับการลงทุน ศึกษารายละเอียดสิ่งที่จะลงทุน มองหาโอกาสใหม่ๆ และพยายามจำกัดความเสี่ยง มองว่าการลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีอาชีพเป็นนักลงทุน (นักลงทุนมืออาชีพ) ซึ่งนักลงทุนจะต้องศึกษาหุ้นที่จะลงทุนอย่างละเอียด มีการวางแผนการลงทุนอย่างเป็นขั้นตอน ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะลงทุนตามกระแสข่าว
นักลงทุนที่ดีมีการตั้งเป้าหมายการลงทุน ด้วยการวัดออกมาเป็นตัวเลขผลกำไรที่ต้องการในระยะยาว ซึ่งโดยทั่วไปเราจะมองเป้าหมายการลงทุนระยะยาวเป็นรายปี อย่างเช่น 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี ลองนึกภาพว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า เงินลงทุนในหลักทรัพย์ของเราจะเป็นเท่าใด ถ้าวันนี้เราอายุ 30 ปี ดังนั้น เรามีเวลาลงทุนได้ถึง 20-30 ปี หุ้นที่ลงทุนจะเน้นในเรื่องผลกำไรจากราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ค่อยเน้นในเรื่องเงินปันผลเท่าใดนัก แต่ถ้านักลงทุนมีอายุ 50 ปี ระยะเวลาลงทุนที่จำกัดเพียงแค่ 10 ปี ก็จะไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงของหุ้นที่จะลงทุนได้มากนัก หุ้นที่ลงทุนส่วนใหญ่จะเน้นไปที่หุ้นปันผล แตกต่างจากนักลงทุนที่ล้มเหลวส่วนใหญ่ ซึ่งมองเพียงแค่การทำกำไรระยะสั้นเพียงวันต่อวันเท่านั้น และมักจะต้องหาหุ้นซื้อขายอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเห็นประโยชน์ของจิตวิทยาการลงทุนเช่นนี้แล้ว นักลงทุนที่ยังล้มเหลวและต้องการประสบความสำเร็จน่าจะลองนำมาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจลงทุนในทุกๆ ครั้ง
ที่มาของข้อมูล :
http://www.tsi-thailand.org
http://www.plukrak.co.th/index.php/resources/other-articles/item/108-psychology-investment/108-psychology-investment
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น