13 กุมภาพันธ์ 2557

ค่า PE คืออะไร แล้วเราจะเลือกหุ้น PE สูงหรือต่ำดี

หลาย ๆ ท่านอาจจะเคยรู้จักกับอัตราส่วนตัวนี้มาบ้างแล้ว แต่มีใครรู้บ้างว่า มันสามารถช่วยในการวิเคราะห์การลงทุนของท่านได้อย่างไร ก่อนอื่นมารู้จักความหมายของ P/E Ratio กันก่อน แล้วค่อยมาดูกันต่อว่ามันมีประโยชน์ต่อการเลือกลงทุนของเราอย่างไร (ข้อมูลอ้างอิงจาก www.bkkonline.com/investment)

P/E Ratio เป็นอัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ลงทุนยินดีจะจ่ายเงินซื้อหุ้นนั้นเป็นกี่เท่าของทุก ๆ 1 บาทของกำไรสุทธิของบริษัท ซึ่งมีสูตรการคำนวณดังนี้


P/E          =
ราคาตลาดต่อหุ้น



กำไรสุทธิต่อหุ้นประจำงวด 12 เดือนของหุ้น


หุ้นที่มี P/E สูงหมายถึงว่า เรายอมที่จะจ่ายแพงกว่าเพื่อซื้อหุ้นตัวนี้เมื่อเทียบกับหุ้นอีกตัวที่ P/E ต่ำกว่า หลายคนจึงมักจะบอกว่าหุ้นที่มี P/E สูงคือหุ้นแพง และหุ้นที่มี P/E ต่ำคือหุ้นถูก ดังนั้น การซื้อหุ้นที่มีราคาถูกน่าจะมีโอกาสกำไรมากกว่าซื้อหุ้นที่แพง แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาจไม่ใช่ทุกครั้งไปที่จะได้ผล บางครั้งการซื้อหุ้นที่มี P/E Ratio สูงกลับมีผลกำไรดีกว่าการซื้อหุ้นที่มี P/E Ratio ต่ำ เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน และไม่ได้เป็นไปตามข้อสมมติฐานที่สมมติดังกล่าว โดยปัจจัยที่เราไม่ได้พิจารณาคือ

1.  การเพิ่มขึ้นและลดลงของกำไร


หุ้นที่มีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของกำไรมักจะมี P/E Ratio สูง ในขณะที่หุ้นที่มีแนวโน้มการถดถอยของกำไรจะมี P/E ต่ำ ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มการทำกำไรก็จะมีผลต่อราคา เช่น หากผู้ลงทุนมองหุ้นตัวหนึ่งเป็น Growth Stock สมควรที่จะซื้อขายที่ P/E สูง ๆ แต่ถ้าวันนึงมีปัจจัยที่มีผลต่อธุรกิจที่ทำให้หุ้นตัวนี้จะไม่มีการขยายตัวของกำไรสูงอย่างที่คาด ทำให้ผู้ลงทุนประเมิน P/E ที่เหมาะสมของหุ้นให้ต่ำลง จึงพากันเทขายหุ้นออกมา หุ้นตัวนั้นก็จะมีราคาลดลงอย่างรวดเร็ว
วิธีการใช้ P/E Ratio อย่างง่ายๆ ในการดูว่าหุ้นตัวนั้นราคาถูกหรือแพงอย่างคร่าว ๆ คือ หุ้นที่น่าลงทุนไม่ควรจะมี P/E Ratio สูงกว่าการขยายตัวของกำไร หรือก็คือการหา PE to Growth Ratio คือ การนำ P/E หารด้วย Growth หุ้นตัวไหนยิ่งมีค่าต่ำกว่า 1 มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เช่น หุ้น A จะมีการขยายตัวของกำไรในอีก 3 ปีข้างหน้าประมาณ 15% ต่อปี หุ้นตัวนี้ก็ควรจะมี P/E Ratio ไม่เกิน 15 เท่า ดังนั้น ถ้าหุ้นตัวนี้มี P/E 8 เท่าก็น่าพิจารณาซื้อ เป็นต้น


2. ความเสี่ยงของกิจการและความผันผวนของกำไร

หุ้นที่มีความเสี่ยงสูงจะมี P/E ต่ำกว่าหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำ ถ้าเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า P/E คือระยะเวลาคืนทุน ดังนั้น หากเราดำเนินธุรกิจที่มีความเสี่ยง เราก็ย่อมจะต้องการให้ธุรกิจคืนทุนเร็ว ๆ หรือต้องการให้ P/E ต่ำ ๆ นั่นเอง

3. ปัจจัยอื่น ๆ

  •  คุณภาพของผู้บริหารและ Good Governance ถ้าบริษัทมีผู้บริหารที่ดี มีความสามารถ หุ้นของบริษัทก็จะมี P/E สูง  
  •  สภาพคล่องของหุ้น หุ้นที่มี Market Cap ขนาดใหญ่มักจะมี P/E สูงกว่าหุ้นที่มี Market Cap เล็กที่มีสภาพคล่องน้อยกว่าแม้ว่าจะเป็นหุ้นที่ดีก็ตาม เนื่องจากกองทุนและผู้ลงุทนต่างชาติจะให้ความสนใจมากกว่า เพราะจำนวนที่ต้องการซื้อแต่ละครั้งค่อนข้างมาก หากซื้อหุ้นตัวเล็กจะซื้อขายลำบาก ทำให้หุ้นขนาดใหญ่มี P/E สูงกว่า


นอกจากที่เราดูเปรียบเทียบหุ้นแบบตัวต่อตัวแล้ว เราควรจะดู P/E Ratio เปรียบเทียบกับ P/E ตลาดและอุตสาหกรรมด้วย จะได้เปรียบเทียบดูว่าหุ้นนั้นมี P/E ที่สูงหรือต่ำกว่ามาตรฐานของตลาดและอุตสาหกรรม



เราสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับ P/E Ratio เพิ่มเติมได้ เช่น ถ้าท่านต้องการดู P/E ตลาดและกลุ่มอุตสาหกรรม ท่านสามารถใช้ฟังก์ชั่นดัชนีอุตสาหกรรม (Sectoral Indices) หรือฟังก์ชั่นข้อมูลเปรียบเทียบหมวดอุตสาหกรรม (Sector Comparison) แต่ถ้าท่านต้องการดูเป็นรายหลักทรัพย์ สามารถเรียกดูได้จากฟังก์ชั่นการจัดอันดับ (Top Ranking) ฟังก์ชั่นข้อมูลเปรียบเทียบรายหลักทรัพย์ (Stock Comparison) ฟังก์ชั่นข้อมูล Highlight ของบริษัท (Company Highlight) และฟังก์ชั่นการซื้อขายในอดีต (Historical Trading)  แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับค่า ได้แก่
  • SETSMART
  • FACTSHEET ใน SETTRADE

อย่างไรก็ตาม ในการเลือกลงทุน P/E Ratio เป็นแค่ข้อมูลหนึ่งในประกอบการตัดสินใจเท่านั้น ผู้ลงทุนควรจะต้องดูหลาย ๆ ข้อมูลประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐาน ข้อมูลทางการเงิน หรือแม้แต่ข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับบริษัทนั้น ๆ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจลงทุน








E-หุ้น โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


ค่า PE หรืออัตราส่วน ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น ของบริษัท ซึ่งเป็นมาตรฐานวัดความถูกความแพงของหุ้นที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งนั้นเป็น อัตราส่วนที่ดูเหมือนว่าจะหาง่ายที่สุด ใช้ง่ายที่สุด และเข้าใจได้ง่ายที่สุด
แต่เชื่อไหมว่าเป็นตัวเลขที่ทำให้คนใช้ โดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุนมือใหม่ผิดพลาดมากที่สุด
 
นักลงทุนสามารถเปิดหนังสือพิมพ์ธุรกิจและหุ้นทุกฉบับ และจะพบค่า PE ของหุ้นทุกตัว และดูว่าถ้าค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่าก็ถือว่าหุ้นมีราคาถูกกว่าค่าเฉลี่ยในปัจจุบัน ยิ่งต่ำก็ยิ่งถูก ตรงกันข้าม หุ้นที่มีค่า PE สูงเกิน 10 เท่าก็ถือว่าเริ่มแพงและถ้าตัวไหนมีค่า PE เป็น 30 – 40 เท่าก็เรียกว่า Impossible
ความหมายของ PE นั้น คร่าวๆ ก็คือ เป็นค่าที่บอกว่าการลงทุนของเราจะใช้เวลากี่ปีถึงจะคืนทุน (ถ้ากำไรยังเท่าเดิมไปเรื่อยๆ) ยิ่งคืนทุนเร็วก็ถือว่าหุ้นยิ่งมีราคาถูก
 
นักลงทุนที่เป็น Value Investor มือใหม่จำนวนมากพยายามหาหุ้นที่มีค่า PE ต่ำเพราะเข้าใจว่านี่คือหุ้นที่จะทำกำไรได้ในระยะยาว แต่พอซื้อเข้าไปแล้วราคาหุ้นกลับลดต่ำลง ผลการดำเนินงานของบริษัทแย่ลง กำไรของบริษัทลดน้อยลงและค่า PE กลับปรับตัวสูงขึ้น หุ้นที่เคย “ถูก” กลับกลายเป็นหุ้น “แพง” อนาคตดูมืดมน ปัญหาทั้งหมดนี้อยู่ที่ข้อมูลของ PE หรือพูดให้ชัดเจนก็คือค่า E ที่นำมาใช้นั้นเป็นค่า E หรือกำไรของปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียว นอกจากนั้นยังเป็นค่า E ที่ยังไม่ได้มีการปรับปรุงให้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงด้วย
 
ก่อนที่จะนำค่า PE มาใช้ได้นั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราจะต้องมีการวิเคราะห์พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบแล้วว่าค่า E หรือกำไรของบริษัทนั้นเป็นค่า E ที่แท้จริงและจะสามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป หรือถ้าจะให้ดีก็คือเติบโตไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ค่า E ที่อาจจะลดน้อยลงไปในอนาคต
การหาค่า E ที่แท้จริง ในเบื้องต้นก็คือ ดูว่าบริษัทไม่มีหุ้นที่จะออกมาเพิ่มเติมโดยเฉพาะที่อาจจะถูกแปลงสภาพหรือ ถูกใช้สิทธิจากวอแรนต์ของบริษัทที่ออกไปแล้ว หากบริษัทมีการออกวอแรนต์และมีโอกาสที่วอแรนต์นั้นจะกลายมาเป็นหุ้น เราก็ต้องเอาหุ้นที่จะเพิ่มขึ้นนั้นมาปรับลดค่าของ E ลงมาตามส่วน สำหรับบางบริษัท หุ้นในส่วนนี้อาจจะเพิ่มขึ้นมาถึง 100% ซึ่งทำให้ค่า E ลดลงมาเหลือเพียงครึ่งเดียว และทำให้ค่า PE สูงขึ้นเป็นเท่าตัว
 
เรื่องการปรับค่า E หรือค่า PE นี้เป็นเรื่องที่สำคัญและต้องตรวจสอบทุกครั้ง เพราะหุ้นในตลาดเกือบ 100 บริษัทมีการออกวอแรนต์จำนวนมาก ว่าที่จริง หุ้นที่เป็นที่นิยมของนักลงทุนจำนวนมากต่างก็มีวอแรนต์กันทั่วหน้า เพราะฉะนั้น โอกาสที่คุณจะเลือกหุ้นที่มีวอแรนต์ติดมาด้วยนั้นมีไม่น้อย และเรื่องของการปรับค่า PE เนื่องจากวอแรนต์นั้นยังไม่มีใครทำนอกจากนักลงทุนจะต้องคำนวณเอง


ประเด็นต่อมาก็คือเรื่องความมั่นคงของค่า E หรือกำไรของบริษัท เรื่องนี้ แม้ว่านักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์อาจจะช่วยได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่นักวิเคราะห์จะมองอนาคตสั้นๆ ถ้าเราจะลงทุนระยะยาวแบบ Value Investment แล้ว เราจะต้องวิเคราะห์เอง กฎง่ายๆ ของผมก็คือ เราจะต้องมองไปข้างหน้าอย่างน้อย 5 ปี ดูว่ากำไรที่เราเห็นในปีที่ผ่านมาจะยังคงดีอยู่ต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้าไหม ถ้าคำตอบคือ ไม่ใช่ หรือ ไม่แน่ แสดงว่า E ตัวนั้น หรือค่า PE ที่เราเห็นเอามาใช้ไม่ได้
 
การดูความมั่นคงของค่า E นั้น วิธีง่ายที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ดูผลการดำเนินงานย้อนหลังของบริษัทอย่าง น้อย 5 ปี ซึ่งข้อมูลนี้หาได้ง่ายจากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ หากปรากฏว่ากำไรของบริษัทมีความสม่ำเสมอหรือเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราก็พอจะมั่นใจได้ว่านั่นเป็นค่า E ที่ใช้ได้ แต่ถ้ากำไรขึ้นๆ ลงๆ รุนแรง เราอาจจะต้องใช้ค่า E เฉลี่ย หรือค่า E ที่ต่ำที่สุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแทน
 
ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มานั้น ยังไม่สามารถที่จะนำมาใช้ได้ทันที จะต้องผ่านการวิเคราะห์เชิงคุณภาพอีกชั้นหนึ่งก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะ ได้ค่า E ที่ถูกต้องซึ่งจะนำไปสู่ค่า PE ที่แท้จริงเพื่อใช้ในการลงทุน โอกาสที่ค่า PE ที่เราเห็นจากหน้าหนังสือพิมพ์จะตรงกับความเป็นจริงนั้นผมคิดว่ามีน้อย เพราะฉะนั้น ในความเห็นของผมก็คือ อย่าเอาค่า PE ของหุ้นจากหนังสือพิมพ์มาใช้ ถ้าจะใช้ก็ขอให้เป็นเพียงตะแกรงร่อนหยาบๆ ที่จะมองหาหุ้นเพื่อไปศึกษาต่อเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น: