
นักลงทุนหรือเทรดเดอร์หลายต่อหลายคนนั้นมักจะเข้าใจผิดคิดว่า “การวิเคราะห์ทางเทคนิค” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าTechnical Analysis นั้นเป็นทุกอย่างแล้วสำหรับการทำกำไรและนำไปสู่การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ แต่แท้จริงแล้วการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยบอกให้ทราบว่าจุดไหนเวลาไหนที่เราควรซื้อ หรือจุดไหนเวลาไหนที่เราควรขายเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็ยังจำเป็นและสำคัญอยู่ดีจะขาดไปก็ไม่ได้ ดังนั้นในบทความ “10 กฏเหล็กของการวิเคราะห์ทางเทคนิค” นี้จะมาพูดถึงหลักการการนำ "การวิเคราะห์ทางเทคนิค" ไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิผลและพัฒนาวิธีการลงทุนให้กับนักลงทุนมือใหม่ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับตนเอง
John Murphy's Ten Laws of Technical Trading
- Map the trends : หลักการสำคัญของข้อนี้ก็คือ การนำ Time Frame ที่ใหญ่ขึ้นมาใช้ในการมองแนวโน้มไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของตลาด หรือ ของตัวหุ้น เพื่อให้เห็นภาพรวมของแนวโน้มได้ชัดเจนขึ้น เช่นการใช้ Time Frame ระดับ Weekly หรือ Monthly มาช่วยในการมองแนวโน้มซึ่งจะใช้ได้ดีกว่าการมองในระดับ Daily (เพิ่มเติม : ศึกษา Dow Theory จะเข้าใจแนวโน้มได้มากขึ้น)
- Spot the trends and go with it: ถึงแม้กลยุทธ์การเทรดและการลงทุนจะมีหลายแบบ แต่การเทรดแบบ Trend Following ก็ถือเป็นการเทรดที่ง่ายที่สุดและปลอดภัยที่สุด ในข้อนี้ใจความสำคัญเพียงแค่เรามองหาแนวโน้มที่เราต้องการจะเข้าเทรดและก็เพียงแค่ตามมันไปแค่นี้ก็ได้กำไรแล้ว ซึ่งแนวโน้มนั้นก็มีหลายระยะตั้งแต่ ระยะยาว, ระยะกลาง และระยะสั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณเทรดสไตล์ไหนและสั้นยาวแค่ไหน และควรใช้ Time Frame ที่สูงกว่าเพื่อบอกแนวโน้ม เช่น เล่นระยะกลางให้ใช้ กราฟ Weekly ถ้าเล่น Day trade ให้ใช้ Daily เป็นต้น
- Find the low and high of it: ใจความของข้อนี้ไม่ยาก ก็คือ การหาแนวรับ – แนวต้าน เพราะจุดซื้อที่ดีที่สุดจะอยู่ใกล้ๆ กับแนวรับ ซึ่งมักจะนำจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ก่อนหน้า (Low เดิม) มาใช้เป็นแนวรับ และ จุดขายที่ดีที่สุดจะอยู่ใกล้ๆ กับแนวต้าน ซึ่งมักจะนำจุดสูงสุดสัมพัทธ์ก่อนหน้า (High เดิม) มาใช้เป็นแนวต้าน หากราคาทะลุ (Breakout) แนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับก็ต่อเมื่อราคานั้นย่อลงมาแล้วไม่หลุด ในทางกลับกันเมื่อราคาหลุดแนวรับและราคาขึ้นไปทดสอบแล้วไม่ผ่านแนวรับนี้ก็จะกลายเป็นแนวต้าน
- Know How far to backtrack: เมื่อเราทราบแล้วว่าเราจะเทรดในแนวโน้มไหน ทีนี้อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าธรรมชาติของแนวโน้มนั้นไม่ได้ขึ้นหรือลงเป็นเส้นตรงตลอดแต่จะขึ้นและลงสลับกันในแนวโน้ม โดยในแนวโน้มขาขึ้น การย่อลง(retracement) นั้นมักจะอยู่บริเวณ 50% ของ Fibonacci (ทั่วไป), 33% (น้อยสุด) และ 62% (มากที่สุด) ของแนวโน้ม ซึ่งJohn Murphy กล่าวว่าเราสามารถใช้พฤติกรรมดังกล่าวมาใช้ในการหาจุดซื้อได้
- Draw the line: Trend Lines ถือเป็นเครื่องมือที่ง่ายที่สุดเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการบอกแนวโน้ม สำหรับในแนวโน้มขาขึ้นจะลากระหว่างจุดต่ำสุด 2 จุด และในแนวโน้มขาลงจะลากระหว่างจุดสูงสุด 2 จุด John Murphy แนะนำการใช้Trend Lines ว่า การใช้ 2 จุดนี้ยังไม่มีน้ำหนักมากนัก ถ้าจะให้ดีควรยืนยันด้วยจุดที่ 3 เพราะ Trend Lines ยิ่งผ่านหลายจุดจะยิ่งมีนัยสำคัญมากขึ้น และหากราคาหลุด Trend Lines นั่นแสดงว่ามีโอกาสที่แนวโน้มจะเปลี่ยน
- Follow that Average: กฎข้อนี้ต้องการจะบอกว่า Moving Average สามารถนำมาใช้หาจุดซื้อ – จุดขายได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยบอกการเคลื่อนไหวของแนวโน้มเดิมที่เกิดขึ้นและการเปลี่ยนแนวโน้มได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็บอกได้แค่ขั้นต้นเท่านั้น ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนและครบถ้วน 100 %
- Learn the Turns: indicator ยอดฮิตอย่าง RSI. และ Stochastic ซึ่งเป็น indicator ประเภท Oscillator นั้นสามารถนำมาใช้บอกภาวะ Overbought และ Oversold ได้ ภาวะทั้ง 2 นี้จะเป็นตัวบอกว่า การย่อ (Retracement) และ การขึ้น (Rallies) ของราคานั้นจะมีโอกาสเกิดการกลับตัว (ในแนวโน้มนั้น) เมื่อไร โดยทั่วไปนักลงทุนนิยมใช้ RSI. 14 วัน และStochastic 9, 14 วัน และที่สำคัญ การเกิด Divergence ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ทราบถึงการกลับตัวของตลาดได้เช่นกัน
- Know the warning signs: MACD indicator ที่ Gerald Appel พัฒนาขึ้นจากการนำ Moving Average 2 เส้นมาตัดกันนั้นสามารถนำมาใช้บอกสัญญาณซื้อและขายได้ ซึ่ง John Murphy แนะนำว่า Time Frame Weekly จะให้สัญญาณได้ดีกว่า Daily และ MACD Histogram ที่เกิดจากการนำระยะห่างระหว่าง เส้น MACD 2 เส้นมาสร้างเป็นกราฟแท่งจะช่วยเป็นสัญญาณเตือนในการเปลี่ยนแนวโน้มได้ดีอีกด้วย
- Trend or Not a Trend: จะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดอยู่ในช่วงที่เป็น แนวโน้ม (Trend) หรือไม่เกิดแนวโน้ม (Non-Trend) John Murphy บอกว่า เราสามารถนำ ADX indicator มาช่วยบอกได้เช่นกัน และยังสามารถบอกได้ว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นนั้นแข็งแกร่ง (คือ มีโอกาสจะขึ้นต่อไปอีก) หรือ อ่อนแอ (คือ เปราะบางและร่วงได้ง่าย) ได้อีกด้วย
- Know the Confirming Signs: เรียนรู้การยืนยันสัญญาณต่างๆ เช่น การใช้ Volume ในการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นเพราะ การมี Volume เฉลี่ย ที่เพิ่มขึ้นในจะช่วยให้ทิศทางการขึ้นในครั้งนั้นมีน้ำหนักมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากVolume เฉลี่ย ลดลงในขณะที่ราคาขึ้นไปสูงอาจเป็นสัญญาณว่าราคาใกล้มาถึงจนสิ้นสุดและอาจจะเกิดการเปลี่ยนแนวโน้มในระยะเวลาต่อมาได้
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ครบแล้วทั้ง 10 ข้อหวังว่าจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจได้มากขึ้นนะครับ ว่า เครื่องมือไหน เหมาะที่จะใช้บอกอะไร จะได้ไม่ใช้เครื่องมือผิดประเภท ซึ่งบางเครื่องมือ ก็มีความสามารถหลากหลายก็สามารถใช้แทนกันได้ครับ ไม่ต้องใช้หมด ขอให้เราอ่านและตีความหมายเป็น ที่สำคัญเครื่องมือนั้นต้องเหมาะกับสไตล์ หรือ จริต ของเราด้วย เพราะอย่างที่บอกไม่มีเครื่องมือไหนที่จะบอกได้ถูกต้อง 100 % อย่างแน่นอน แล้วพบกับบทความตอนใหม่ ๆ กันที่investmentory.com อีกเช่นเคย ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ
Credit:
คีตสังโยชน์ วงษ์ขุนเณร (โดม) http://www.investmentory.com