19 กุมภาพันธ์ 2558

10 กฎเหล็กสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค



นักลงทุนหรือเทรดเดอร์หลายต่อหลายคนนั้นมักจะเข้าใจผิดคิดว่า “การวิเคราะห์ทางเทคนิค” หรือที่เราเรียกกันติดปากว่าTechnical Analysis นั้นเป็นทุกอย่างแล้วสำหรับการทำกำไรและนำไปสู่การลงทุนที่ประสบความสำเร็จ แต่แท้จริงแล้วการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยบอกให้ทราบว่าจุดไหนเวลาไหนที่เราควรซื้อ หรือจุดไหนเวลาไหนที่เราควรขายเท่านั้น 
แต่ถึงกระนั้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็ยังจำเป็นและสำคัญอยู่ดีจะขาดไปก็ไม่ได้ ดังนั้นในบทความ “10 กฏเหล็กของการวิเคราะห์ทางเทคนิค” นี้จะมาพูดถึงหลักการการนำ "การวิเคราะห์ทางเทคนิคไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิผลและพัฒนาวิธีการลงทุนให้กับนักลงทุนมือใหม่ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับตนเอง
John Murphy's Ten Laws of Technical Trading
  1. Map the trends : หลักการสำคัญของข้อนี้ก็คือ การนำ Time Frame ที่ใหญ่ขึ้นมาใช้ในการมองแนวโน้มไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของตลาด หรือ ของตัวหุ้น เพื่อให้เห็นภาพรวมของแนวโน้มได้ชัดเจนขึ้น เช่นการใช้ Time Frame ระดับ Weekly หรือ Monthly มาช่วยในการมองแนวโน้มซึ่งจะใช้ได้ดีกว่าการมองในระดับ Daily (เพิ่มเติม : ศึกษา Dow Theory จะเข้าใจแนวโน้มได้มากขึ้น)
  2. Spot the trends and go with it: ถึงแม้กลยุทธ์การเทรดและการลงทุนจะมีหลายแบบ แต่การเทรดแบบ Trend Following ก็ถือเป็นการเทรดที่ง่ายที่สุดและปลอดภัยที่สุด ในข้อนี้ใจความสำคัญเพียงแค่เรามองหาแนวโน้มที่เราต้องการจะเข้าเทรดและก็เพียงแค่ตามมันไปแค่นี้ก็ได้กำไรแล้ว ซึ่งแนวโน้มนั้นก็มีหลายระยะตั้งแต่ ระยะยาวระยะกลาง และระยะสั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณเทรดสไตล์ไหนและสั้นยาวแค่ไหน และควรใช้ Time Frame ที่สูงกว่าเพื่อบอกแนวโน้ม เช่น เล่นระยะกลางให้ใช้ กราฟ Weekly ถ้าเล่น Day trade ให้ใช้ Daily เป็นต้น
  3. Find the low and high of it: ใจความของข้อนี้ไม่ยาก ก็คือ การหาแนวรับ – แนวต้าน เพราะจุดซื้อที่ดีที่สุดจะอยู่ใกล้ๆ กับแนวรับ ซึ่งมักจะนำจุดต่ำสุดสัมพัทธ์ก่อนหน้า (Low เดิมมาใช้เป็นแนวรับ และ จุดขายที่ดีที่สุดจะอยู่ใกล้ๆ กับแนวต้าน ซึ่งมักจะนำจุดสูงสุดสัมพัทธ์ก่อนหน้า (High เดิมมาใช้เป็นแนวต้าน หากราคาทะลุ (Breakout) แนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับก็ต่อเมื่อราคานั้นย่อลงมาแล้วไม่หลุด ในทางกลับกันเมื่อราคาหลุดแนวรับและราคาขึ้นไปทดสอบแล้วไม่ผ่านแนวรับนี้ก็จะกลายเป็นแนวต้าน 
  4. Know How far to backtrack: เมื่อเราทราบแล้วว่าเราจะเทรดในแนวโน้มไหน ทีนี้อย่างที่รู้  กันอยู่ว่าธรรมชาติของแนวโน้มนั้นไม่ได้ขึ้นหรือลงเป็นเส้นตรงตลอดแต่จะขึ้นและลงสลับกันในแนวโน้ม โดยในแนวโน้มขาขึ้น การย่อลง(retracement) นั้นมักจะอยู่บริเวณ 50% ของ Fibonacci (ทั่วไป), 33% (น้อยสุดและ 62% (มากที่สุดของแนวโน้ม ซึ่งJohn Murphy กล่าวว่าเราสามารถใช้พฤติกรรมดังกล่าวมาใช้ในการหาจุดซื้อได้
  5. Draw the line: Trend Lines  ถือเป็นเครื่องมือที่ง่ายที่สุดเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการบอกแนวโน้ม สำหรับในแนวโน้มขาขึ้นจะลากระหว่างจุดต่ำสุด 2 จุด และในแนวโน้มขาลงจะลากระหว่างจุดสูงสุด 2 จุด John Murphy แนะนำการใช้Trend Lines ว่า การใช้ 2 จุดนี้ยังไม่มีน้ำหนักมากนัก ถ้าจะให้ดีควรยืนยันด้วยจุดที่ 3 เพราะ Trend Lines ยิ่งผ่านหลายจุดจะยิ่งมีนัยสำคัญมากขึ้น และหากราคาหลุด Trend Lines นั่นแสดงว่ามีโอกาสที่แนวโน้มจะเปลี่ยน
  6. Follow that Average: กฎข้อนี้ต้องการจะบอกว่า Moving Average สามารถนำมาใช้หาจุดซื้อ – จุดขายได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยบอกการเคลื่อนไหวของแนวโน้มเดิมที่เกิดขึ้นและการเปลี่ยนแนวโน้มได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็บอกได้แค่ขั้นต้นเท่านั้น ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนและครบถ้วน 100 %
  7. Learn the Turns: indicator ยอดฮิตอย่าง RSI. และ Stochastic  ซึ่งเป็น indicator ประเภท Oscillator นั้นสามารถนำมาใช้บอกภาวะ Overbought และ Oversold ได้ ภาวะทั้ง 2 นี้จะเป็นตัวบอกว่า การย่อ (Retracement) และ การขึ้น (Rallies) ของราคานั้นจะมีโอกาสเกิดการกลับตัว (ในแนวโน้มนั้นเมื่อไร โดยทั่วไปนักลงทุนนิยมใช้ RSI. 14 วัน และStochastic  9, 14 วัน และที่สำคัญ การเกิด Divergence ก็เป็นสัญญาณเตือนให้ทราบถึงการกลับตัวของตลาดได้เช่นกัน 
  8. Know the warning signs: MACD indicator ที่ Gerald Appel พัฒนาขึ้นจากการนำ Moving Average 2 เส้นมาตัดกันนั้นสามารถนำมาใช้บอกสัญญาณซื้อและขายได้ ซึ่ง John Murphy แนะนำว่า Time Frame Weekly จะให้สัญญาณได้ดีกว่า Daily และ MACD Histogram ที่เกิดจากการนำระยะห่างระหว่าง เส้น MACD  2 เส้นมาสร้างเป็นกราฟแท่งจะช่วยเป็นสัญญาณเตือนในการเปลี่ยนแนวโน้มได้ดีอีกด้วย
  9. Trend or Not a Trend: จะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดอยู่ในช่วงที่เป็น แนวโน้ม (Trend) หรือไม่เกิดแนวโน้ม (Non-Trend)  John Murphy บอกว่า เราสามารถนำ ADX indicator มาช่วยบอกได้เช่นกัน และยังสามารถบอกได้ว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นนั้นแข็งแกร่ง (คือ มีโอกาสจะขึ้นต่อไปอีกหรือ อ่อนแอ (คือ เปราะบางและร่วงได้ง่ายได้อีกด้วย
  10. Know the Confirming Signs: เรียนรู้การยืนยันสัญญาณต่างๆ เช่น การใช้ Volume  ในการยืนยันแนวโน้มขาขึ้นเพราะ การมี Volume เฉลี่ย ที่เพิ่มขึ้นในจะช่วยให้ทิศทางการขึ้นในครั้งนั้นมีน้ำหนักมากขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากVolume เฉลี่ย ลดลงในขณะที่ราคาขึ้นไปสูงอาจเป็นสัญญาณว่าราคาใกล้มาถึงจนสิ้นสุดและอาจจะเกิดการเปลี่ยนแนวโน้มในระยะเวลาต่อมาได้
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ครบแล้วทั้ง 10 ข้อหวังว่าจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจได้มากขึ้นนะครับ ว่า เครื่องมือไหน เหมาะที่จะใช้บอกอะไร จะได้ไม่ใช้เครื่องมือผิดประเภท ซึ่งบางเครื่องมือ ก็มีความสามารถหลากหลายก็สามารถใช้แทนกันได้ครับ ไม่ต้องใช้หมด ขอให้เราอ่านและตีความหมายเป็น ที่สำคัญเครื่องมือนั้นต้องเหมาะกับสไตล์ หรือ จริต ของเราด้วย เพราะอย่างที่บอกไม่มีเครื่องมือไหนที่จะบอกได้ถูกต้อง 100 % อย่างแน่นอน แล้วพบกับบทความตอนใหม่  กันที่investmentory.com อีกเช่นเคย ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ

Credit:
คีตสังโยชน์ วงษ์ขุนเณร (โดม) http://www.investmentory.com 

5 กุมภาพันธ์ 2558

ยอดวิชา แม่ไม้ ของเสี่ยยักษ์ เซียนหุ้นพันล้าน


ความเป็น "สุดยอด" ของนักเล่นหุ้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ลงทุนจากเงินก้อนเล็กๆ เพียง 2 ล้านบาท แล้วประสบความสำเร็จจนมีเงินนับ "พันล้านบาท"
จาก "ต้นกล้า" ฝ่าแดดต้านฝน จนเป็น "ไม้ใหญ่" เขาเป็น 1 ในนักลงทุนนับหมื่นคนที่ทำได้ "ถนนนักลงทุน" รวบรวมคำพูด และวลีเด็ดๆ จากกูรูหุ้นรายนี้

  1. ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น..มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา "ผิด" คุณต้องเปลี่ยน "อย่าดันทุรัง"
  2. สมัยที่ยังเล่นหุ้นไม่เก่ง วิธีที่ผมใช้จะ "ลอกข้อสอบคนเก่ง" แต่ระหว่างที่เราลอกข้อสอบเขา เราก็ต้องพัฒนาตัวเองตามให้ทัน
  3. จากประสบการณ์มากกว่า 20 ปี จะซื้อหุ้นให้ได้กำไร เราต้องกล้าไปจ่ายตลาด "ตอนประมาณ ตี 5" หรือ อีก 1 ชั่วโมงก่อนฟ้าสาง...ผีไม่มี เฮียประธาน เขาเป็นเจ้าของคอร์ดแบดมินตันแถวถนนบางรัก ฉายาเขา คือ "พญาอินทรี" ถ้าวันไหนที่พวกเรา "เละ" หรือ "เจ๊ง" กันหมด เขาจะบินมาเลย..เขาจะมาซื้อหุ้น
  4. วิธีการเอาตัวรอด ในช่วงที่ต้องเผชิญกับ "วิกฤติการณ์" ทางเดียวที่จะทำให้เรา "รอด" คือ การตัดนิ้ว (Cut Loss) ยอมขาดทุนรักษาชีวิต
  5. การเล่นหุ้นเพื่อหวังกำไร 3-5% เป็นการลงทุนที่มีโอกาส "ร่ำรวยได้ยาก" เพราะการตัดสินใจซื้อ-ขายบ่อย โอกาสผิดพลาดจะสูง
  6. ในจังหวะที่หุ้นเป็นขาขึ้น เราต้อง Let the Profit Run ปล่อยให้กำไรวิ่งเต็มสตีม เมื่อไรที่ราคาเริ่มปรับฐานลงมาพร้อมวอลุ่ม เราต้องรีบล้างพอร์ตออกไป ท่องเอาไว้เลย "วอลุ่มพีค" คือ "ราคาพีค" และ ถ้าหุ้นปรับฐานแล้ว "รีบาวด์" แต่ไม่ทำ "นิวไฮ" ใหม่.."มันต้องลง"
  7. ถ้าหุ้นเป็น "ขาลง" แล้ว "วอลุ่มหาย" นี่เป็นตามธรรมชาติ แต่ถ้าหุ้นเป็น "ขาขึ้น" แล้ว "วอลุ่มหาย" นี่มันผิดกฎธรรมชาติ ให้สงสัยไว้ก่อนว่า "มันกำลังจะวิ่ง"
  8. กรณีที่หุ้นจะปรับตัว "ลงแรง" วอลุ่มมักจะทำ "พีค" ก่อน ให้สังเกตว่า รายย่อยจะแห่เข้าใส่แบบไม่ลืมหูลืมตา เวลาที่หุ้นปรับตัว มันจะ "ลงลึก"
  9. ในช่วงของการสะสมหุ้น ถ้าเป็น "หุ้นดี" ให้สังเกตฝั่ง Bid (ซื้อ) จะน้อย แต่ฝั่ง Offer (ขาย) จะเยอะ ภาวะอย่างนี้ คือ ช่วงที่ดัชนี SET ประมาณ ตี 4 ตี 5 คนยังเล่นหุ้นไม่เต็มตัว เขาจะรอรับ ไม่ไล่ราคา
  10. จุดที่มั่นใจที่สุด คือ จุดที่อันตรายที่สุด และจุดที่อันตรายที่สุด คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือ ประมาณ ตี 5 ถึง ตี 5 ครึ่ง ก่อนฟ้าสาง