23 พฤศจิกายน 2560

บทวิเคราะห์กลุ่มพลังงานและโรงไฟฟ้า เตรียมเครื่องให้พร้อมสำหรับปี 2561 โดย บัวหลวง ณ วันที่ 23 พ.ย. 2560

โดย
ปวีณ์นุช ศรีตระกูล 
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ 
Paveenuch.sri@bualuang.co.th 

PDP ใหม่จะออกมาเร็วๆนี้ ต้นปี 2561 เราคาดสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (EPPO) จะประกาศแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ปี 2558 ฉบับปรับปรุงออกมา (ประชาพิจารณ์จะเสร็จในวันที่ 29 ธ.ค. 2560) เราคาด PDP ฉบับปรับปรุงนี้จะปรับประมาณการค่าอุปสงค์ไฟฟ้าสูงสุด และเปลี่ยนสัดส่วนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยลดสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน และเพิ่มสัดส่วนแหล่งพลังงานที่มีความเสถียรภาพอื่นๆ เช่น จากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ

ผู้ได้รับประโยชน์: บริษัทที่มีกำลังการผลิตในมือสูงสุด

กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรอง ณ ปัจจุบันสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 15% (รูปที่ 1) ดังนั้น เราจึงมองว่าโอกาสที่จะมีการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่นั้นมีจำกัด (ยกเว้นในภาคใต้ที่ปัจจุบันมีการซื้อไฟฟ้าจากประเทศมาเลเซีย) แม้ต้นทุนการสร้างโรงไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าที่จ่ายให้โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนได้ปรับลดลง แต่ต้นทุนดังกล่าวยังมีราคาสูงกว่าไฟฟ้าที่มาจากโรงไฟฟ้าดั้งเดิม ดังนั้นเราเชื่อว่าการจัดสรรค์พลังงานทดแทนใน PDP ฉบับปรับปรุงนั้น ไม่น่าจะมีสัดส่วนถึง 40% และโรงไฟฟ้าดั้งเดิมจะยังเป็นฐานหลักของการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย ดังนั้น บริษัทที่มี PPA ในมือเยอะที่สุดน่าจะยังเป็นผู้นำอุตสาหกรรม ขณะที่ผู้เล่นรายอื่นๆตจะถูกกดดันให้ไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต




ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า มีอะไรให้ตื่นเต้นบ้าง?

ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นมา เราเชื่อว่าราคาตลาดได้สะท้อนกำลังการผลิตของบริษัทที่เซ็นสัญญาต่างๆแล้ว ดังนั้นปัจจัยที่จำทำให้บริษัทโดดเด่นกว่ากลุ่มคือกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามา (อาจเป็นโครงการขนาดเล็กในประเทศไทย หรือโครงการขนาดใหญ่ในต่างประเทศ) อีกทั้งเรามองว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าจะมีอัพไซด์จากค่า Ft ที่สูงขึ้น

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นมาเมื่อเทียบกับต้นปีที่ผ่านมา ดังนั้นราคาก๊าซจะเพิ่มขึ้นตามมา ผู้ประกอบการที่ขายไฟฟ้า และไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม และใช้ราคาอ้างอิงกับราคากฟภ. (ที่มีค่าไฟฟ้าฐาน + ค่า Ft ในสูตรค่าไฟฟ้า) จะได้ประโยชน์จากค่า Ft ที่สูงขึ้น (รูปที่ 3) ส่วนด้านโอกาสในการขยายกำลังการผลิตในประเทศ กระทรวงพลังงานมีแผนจะสนับสนุนโรงไฟฟ้า SPP hybrid แบบ firm และโรงไฟฟ้า semi-firm (ที่ใช้เชื้อเพลิงจากวัตถุดิบที่มาจากพลังงานทดแทน 1 แหล่งเป็นอย่างน้อย)


ส่องบริษัทในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของเรา:

เราเลื่อนระยะเวลาการลงทุนหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เราให้คำแนะนำทั้งหมดไปเป็นสิ้นปี 2561 โดยยังให้น้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เนื่องจากภาพการเติบโตของบริษัทในกลุ่มฯ มีผสมกันไป เราแนะนำให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มโดดเด่นในสี่ด้าน – กำลังการผลิตเติบโต, กำไรเติบโต, อัพไซด์ต่อผลประกอบการ, และมูลค่าหุ้น

เราเริ่มต้นทำการวิเคราะห์ BGRIM ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมาย 32 บาท ทั้งนี้เราให้ BGRIM เป็น หุ้นที่เราชอบมากที่สุดสำหรับการลงทุนในปี 2561 จากกำไรที่เติบโตโดดเด่นสุด และมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรมากที่สุดในกลุ่ม (รายละเอียดอยู่ด้านล่าง) อีกทั้งเราแนะนำ “ซื้อ” EGCO โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 260 บาท หนุนโดยภาพกำไรปี 2561 ที่เติบโตดี และมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับน่าลงทุน ในทางกลับกัน เราคงคำแนะนำ “ถือ” BPP (ราคาเป้าหมาย 29.25 บาท) และ RATCH (ราคาเป้าหมาย 56 บาท) เราคาดกำไรปี 2561 ของ BPP เติบโต 9.5% และ RATCH โต 20.1% หลักๆเนื่องจากการดำเนินงานโรงไฟฟ้าหงสาที่ดีขึ้น (ทั้งสองบริษัทถือ 40% ในโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 1,878 เมกะวัตต์ในประเทศลาว) แต่เรามองทั้งสองบริษัท ยังไม่มีปัจจัยกระตุ้นอื่นในระยะสั้น นอกจากนี้เรามองผลประกอบการปี 2561 ของ GLOW (ถือ ราคาเป้าหมาย 91 บาท) จะหดตัวลงจาก PPA ที่หมดอายุ แต่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ดีสุดในกลุ่มอาจหนุนราคาหุ้นได้บ้าง สำหรับ GPSC เราปรับลดคำแนะนำลงจาก “ถือ” เป็น “ขาย” ด้วยราคาเป้าหมาย 55 บาท เนื่องจากมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับสูง (PEG ปี 2561 อยู่ที่ 1.6 เท่า สูงที่สุดในกลุ่มฯ)

BGRIM: เติบโตโดดเด่นที่สุดรอบด้าน

โดยปกติแล้ว กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้กำไรเติบโต ซึ่งในปี 2561 BGRIM เป็นบริษัทที่มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยมี SPP เพิ่มขึ้น 3 แห่ง รวม 221 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังการผลิตขยายตัวขึ้น 24.8% ในทางตรงข้าม บริษัทในกลุ่มฯ มีกำลังการผลิตเติบโตเฉลี่ยเพียง 5.2% เราคาดผลประกอบการของ BGRIM จะกระโดดสูงขึ้น 24% YoY เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ 6.7% อีกทั้ง BGRIM มีสัดส่วนกำลังการผลิต SPP มากที่สุดในพอร์ตที่ 93% เทียบกับ GLOW ซึ่งมีสัดส่วนดังกล่าวรองลงมาที่ 58% ดังนั้น BGRIM จะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากค่า Ft ที่สูงขึ้นมากที่สุด เราประเมินคร่าวๆว่า ทุกๆ 10 bps ที่ค่า Ft สูงกว่าสมมุติฐานอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีกรณีพื้นฐานของเราที่ 2.3% (ค่าเฉลี่ยในอดีต) กำไรของบริษัทจะสูงขึ้นประมาณ 0.5% และส่งผลให้ NAV เพิ่มขึ้นประมาณ 0.50 บาท/หุ้น นอกจากนี้ BGRIM เป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของเราที่มีแผนจะเข้าประมูลกำลังการผลิตพลังงานทดแทนที่ในเร็วๆนี้

หากเปรียบเทียบราคาหุ้นต่อกำไร PEG ปี 2561 ของ BGRIM อยู่ที่ 1.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ 1.2 เท่า (เราไม่นำ GLOW มาคิดรวมด้วย เนื่องจากกำไรของบริษัทมีแนวโน้มติดลบในปีหน้า) เนื่องจาก BGRIM เพิ่งจดทะเบียนใน SET ปีนี้ เราจึงยังไม่มีสถิติอัตราเงินปันผลจ่ายในอดีต ทั้งนี้นโยบายการจ่ายปันผลขั้นต่ำของบริษัทอยู่ที่ 40% แต่เราเชื่อว่ามีอัพไซด์จากตัวเลขดังกล่าว จากผลการดำเนินงานนับจากต้นปีจนถึงปัจจุบันที่น่าพอใจ เราได้สรุปบริษัทต่างๆในกลุ่มฯ ที่เราให้คำแนะนำ (รูปที่ 4) และจำลองสถานการณ์สำหรับเงินปันผลจ่ายของ BGRIM (รูปที่ 5)





















19 พฤษภาคม 2560

THAILAND ECONOMIC ในรอบ 10 ปี

ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP)
ผลิตภัณฑ์ในประเทศ (GDP) ในประเทศไทยมีมูลค่า 395.17 พันล้านดอลลาร์ในปี 2015 มูลค่า GDP ของประเทศไทยคิดเป็น 0.64% ของเศรษฐกิจโลก GDP ในประเทศไทยมีมูลค่าเฉลี่ย 111.46 พันล้านเหรียญสหรัฐตั้งแต่ปีพ. ศ. 2503 จนถึงปีพ. ศ. 2535 ซึ่งสูงถึง 419.89 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีพ. ศ. 2556 และต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 2.76 พันล้านเหรียญสหรัฐในปีพ. ศ. 2503

source: tradingeconomics.com

อัตราการเติบโตของ GDP ในประเทศไทย (Thailand GDP Growth Rate)
ศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.3 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 0.5 ในไตรมาสก่อนและสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์เล็กน้อยที่ขยายตัว 1.2% เป็นไตรมาสที่เติบโตเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2555 ส่วนใหญ่มาจากการบริโภคและการส่งออก อัตราการเติบโตของ GDP ของประเทศไทยจากปี พ. ศ. 2536 จนถึงปีพ. ศ. 2560 เฉลี่ยอยู่ที่ 0.93 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงถึง 9.60 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรกของปี 2555 และต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ -6.30 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่สี่ของปี 2554

source: tradingeconomics.com

อัตราการเติบโตของ GDP รายปี (Thailand GDP Annual Growth Rate)
GDP ของไทยขยายตัว 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วในไตรมาสที่แล้วของปี 2017 เทียบกับที่ขยายตัว 3.0% ในไตรมาสที่สี่ของปี 2016 และสูงกว่าความคาดหวังของตลาดที่ขยายตัว 3.2% เล็กน้อย เป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว อัตราการเติบโตของ GDP ประจำปีในประเทศไทยอยู่ที่ 3.68 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปีพ. ศ. 2560 ซึ่งสูงถึง 15.30 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่สี่ของปี 2555 และต่ำที่สุดถึง -12.50 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่สองของปี 2541
source: tradingeconomics.com

อัตราแลกเปลี่ยน (Thai Baht)
ในอดีตเงินบาทมีค่าสูงสุด 55.50 บาทต่อ 1 USD ในเดือนมกราคม 2541 และต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 20.36 บาทต่อ 1 USD ในเดือนกรกฎาคม 2524

source: tradingeconomics.com

อัตราการว่างงาน (Thailand Unemployment Rate)

source: tradingeconomics.com

หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี (Thailand Households Debt To GDP)

source: tradingeconomics.com

ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย (Thailand House Price Index)

source: tradingeconomics.com

ดัชนีความเชื่อมั่นผูบริโภค (Thailand Consumer Confidence)

ดัชนีความเชื่อมั่นผูบริโภค (Consumer Confidence Index) เปนดัชนีที่ใชวัดหรือประเมินความรูสึกของผูบริโภคเกี่ยวกับภาวะการจางงานในปจจุบันและอนาคต รายไดที่คาดวาจะไดรับในอนาคต ภาวะเศรษฐกิจในปจจุบันและอนาคต การประเมินความรูสึกของผูบริโภคในดานตางๆซึ่งมีผลกระทบตอ ระบบเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของผูบริโภคสามารถบอกแนวโนม การวางงาน อัตราเงินเฟอ หรือเงินฝด ตลอดจนขนาดของรายไดที่แทจริงไดซึ่งจะชวยใหรัฐบาลสามารถแกไขปญหาเศรษฐกิจไดใกลเคียงกับความจริงไดมากที่สุด


source: tradingeconomics.com

16 พฤษภาคม 2560

13 นิสัยที่คนรวย (แบบสร้างเนื้อสร้างตัวเอง) มีเหมือน ๆ กัน

คัดลอกมาจาก https://thailandinvestmentforum.com/2016/03/21/13habits_of_rich/

คนธรรมดา ๆ ที่ใช้สมองและสองมือ และสร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็น “คนรวย” ได้เองนั้น เค้ามีคุณสมบัติหรือทัศนคติที่เหมือนกันอย่างไร ? คำถามนี้น่าสนใจ เพราะคนธรรมดาอย่างเรา ๆ จะได้นำมาปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่อก้าวเข้าสู่เส้นทางความสำเร็จตามไปได้ อย่างน้อยก็ใกล้ขึ้นอีก 1 ก้าว

Thomas C.Corley ผู้เขียนหนังสือ “Rich Habits: The Daily Success Habits of Wealthy Individuals” ได้ใช้เวลากว่า 5 ปีในการศึกษาทัศนคติคนรวยที่สร้างเนื้อสร้างตัวเอง (ไม่ได้ถูกหวยชุดใหญ่ ไม่ได้มีมรดกกองโต) จำนวนเกือบ 200 คน จึงค้นพบว่า มีคุณสมบัติร่วม 13 ประการที่คนรวยสร้างเอง มีเหมือน ๆ กัน นั่นก็คือ
1. คนรวยสร้างเอง อ่านหนังสือเป็นประจำ | 88% ของคนรวย อ่านหนังสืออย่างน้อย 30 นาที ทุกวัน และเป็นการอ่านเพิ่มความรู้เพื่อเอาไปใช้ต่อยอด ไม่ได้อ่านหนังสือหมวดบันเทิง
2. คนรวยสร้างเอง ออกกำลังกายเป็นประจำ | 76% ของคนรวย ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน เพราะเขารู้ว่าการออกกำลังกายไม่ได้ดีต่อสุขภาพร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้สมองตื่นตัวอีกด้วย
3. คนรวยสร้างเอง เข้าสังคมกับคนแบบเดียวกัน | ซึ่งคนแบบเดียวกัน หมายถึง คนที่มีเป้าหมาย มองโลกด้านบวก มีความกระตือรือล้น … จะว่าพวกเขาเลือกคบก็ได้ แต่เพราะพวกเขารู้ว่าเวลามีจำกัด จะคบทุกคนทุกเวลาไม่ได้ แถมการคบคนที่คิดลบ ช่างนินทาแต่ไม่ลงมือทำ ก็กลับจะยิ่งบั่นทอนกำลังใจ … และหากเราอยากจะอยู่ในสังคมคนรวยสร้างเอง จริง ๆ เราไม่จำเป็นต้องรวยก่อนก็ได้ แค่เราต้องมีพื้นฐานทัศนติด้านบวก มีแนวคิดก้าวหน้า และมีความรู้จริง แบบนี้ใคร ๆ ก็อยากคุยด้วย อยากทำธุรกิจด้วย
4. คนรวยสร้างเอง พุ่งชนเป้าหมาย | คนที่มีเป้าหมาย และมุ่งหน้าเดินสู่เป้าหมายอย่างไม่ท้อ ล้มแล้วก็ลุก ต่อให้เดินไปได้ก้าวสองก้าวแล้วล้ม ก็ลุกมาเดินต่อ สุดท้ายจะก็ไปถึงเป้าหมายได้ และคนรวยสร้างเอง จะตั้งเป้าหมายส่วนตัว ไม่เอาชีวิตของคนอื่นมาลอกเป็นเป้าหมายของเขา
5. คนรวยสร้างเอง ตื่นเช้า | คนรวยเกือบ 50% มีเวลาตอนเช้ามืดอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนเริ่มทำงานจริง (เช่น เริ่มงาน 8 โมง ก็ตื่นตี 5) เพราะตื่นเร็วกว่า ก็มีเวลาคิดและทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่า กลายเป็นว่าคนตื่นเช้า สามารถ “ควบคุม” ปัจจัยเวลาได้ ส่วนคนที่ตื่นสาย ทำอะไรช้า ก็จะถูกเวลาไล่กวดอยู่เสมอ
6. คนรวยสร้างเอง มีแหล่งรายได้หลายทาง | 65% ของคนรวย (ในกลุ่มที่ทำการศึกษา) ไม่ได้มีรายได้จากแหล่งเดียว แต่มีจาก 3 ช่องทางเป็นอย่างน้อย อย่างเช่น บ้านหรือคอนโดให้เช่า กำไรและเงินปันผลจากหุ้น และการร่วมหุ้นทำธุรกิจ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งใหญ่โต ใช้เงินมากเกินตัว แต่สามารถค่อย ๆ ริเริ่มลองทำและต่อยอดขยับขยายไปเรื่อย ๆ
7. คนรวยสร้างเอง แสวงหาที่ปรึกษาของชีวิต (Mentors) | ซึ่ง Mentor ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอายุมากกว่ามาก ๆ แต่สามารถเป็นเพื่อนที่มีประสบการณ์ในบางด้านมากกว่า เคยทำบางอย่างสำเร็จมาก่อน และ Mentor ไม่ได้ช่วยพัฒนาชีวิตคนรวยในด้านธุรกิจหรือการเงินเท่านั้น ยังช่วยให้ชีวิตส่วนตัวมีความสุข ผ่านพ้นปัญหาหลายรูปแบบที่ยาก ๆ ได้ .. คือคนรวย จะไม่คิดเองทำเองด้วยตัวคนเดียว แต่ยินดีให้คนมาช่วยคิดช่วยแนะนำสิ่งดี ๆ อยู่เสมอ
8. คนรวยสร้างเอง คิดบวก | Corley (ผู้ทำการศึกษาเรื่องนี้) ย้ำว่าการคิดบวกเป็นสุดยอดปัจจัยสู่คามสำเร็จของคนรวยสร้างเอง “ทุกคน” … ซึ่งปัญหาของคนส่วนใหญ่คือ ไม่ค่อยจะสำรวจจิตใจตัวเอง ว่าเป็นคนคิดลบหรือคิดบวก ซึ่งคนรวยจะมีความรู้สึกตัวตนอยู่เสมอ ว่าไม่จะปล่อยให้ตัวเองตกลงไปในหลุมของการคิดลบ
9. คนรวยสร้างเอง ไม่เห่อตามกระแสมหาชน | แต่คนรวยจะสร้างกระแสของตัวเองขึ้นมา และชักชวนคนรอบข้างให้เดินตาม
10. คนรวยสร้างเอง มีมารยาทดี ทำตัวเหมาะสม | คนรวยรู้ว่าในโอกาสไหนควรทำอะไร เช่น ส่งจดหมายขอบคุณเมื่อได้รับความช่วยเหลือ กล่าวแสดงความยินดีเมื่อเพื่อนประสบความสำเร็จ ร่วมโต๊ะอาหารอย่างสำรวม และแต่งตัวเหมาะสมไม่น้อยเกินและไม่มากเกิน (อะไรที่เกินพอดี คือ ไม่ดี) ส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาความสัมพันธ์ แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะเขารู้จักใจเขาใจเรา รู้ว่า “We are all humans” คือทุกคนมีชีวิตจิตใจ ต้องการกัลยาณมิตร และการจะให้คนอื่นรู้ว่าเราคือกัลยาณมิตร คือต้องแสดงออก ไม่ใช่แค่คิดในใจ … ลองคิดดูว่ามีคนแสดงให้เรารู้ ว่าเขารู้สึกดีกับเรา ขอบคุณเรา ชื่นชมเรา เราก็คงยินดีเช่นกัน แต่ถ้าทุกคนคิดดีกับเราหมด แต่ไม่เคยบอก ไม่เคยแสดงออก เราจะไม่รู้แต่แรกเลยด้วยซ้ำ ว่าเรามีคนแบบนี้อยู่รอบตัว
11. คนรวยสร้างเอง ยินดีช่วยคนอื่นให้สำเร็จไปด้วย | ซึ่งคนรวยสร้างเอง ก็จะรู้จักเลือกช่วยเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่แบบเล่นพรรคเล่นพวกล้วน ๆ ไม่ใช่เห็นแก่ตัวขั้นรุนแรง แต่เพราะเขารู้ว่า ไม่สามารถช่วยทุกคนทุกเวลาได้ เพราะแบบนั้น ก็จะไม่มีเวลาไปช่วยคนที่มีศักยภาพมากพอที่จะประสบความสำเร็จ ผลงานโดยรวมก็จะออกมากลาง ๆ หรือต่ำ เพราะถ้าช่วยเหมาเข่ง คนเก่งก็จะได้รับเวลา/ทรัพยากรไม่มากพอ ส่วนคนที่กลาง ๆ เบ ๆ ต่อให้ช่วยมากเท่าไร เขาก็ไปได้แค่นั้น
12. คนรวยสร้างเอง ให้เวลากับตัวเองในการคิดใคร่ครวญ | คนรวยสร้างเอง จะใช้สมองคิดใคร่ครวญการงานต่าง ๆ เงียบ ๆ คนเดียว อย่างน้อย 15 นาทีทุกวัน ซึ่งเรื่องที่คิดไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับเงินทองธุรกิจล้วน ๆ แต่เขายังคิดเรื่องการวางแผนชีวิตโดยรวม และการดูแลสุขภาพเช่นกัน
13. คนรวยสร้างเอง ชอบฟังเสียงสะท้อนจากผู้คน | แม้แต่คนที่รวยแล้ว ก็ไม่ได้คิดถูกทำถูกทุกเรื่องทุกครั้ง และเขารู้ว่าถ้าไม่เปิดใจรับฟังความเห็นก็ไม่มีทางรู้ตัว (ได้อย่างทันท่วงที) ว่าอะไรกำลังผิดทาง อะไรที่คนไม่ชอบ … เขาจึงแสวงหาความเห็นจากคนรอบข้าง ทั้งเพื่อน คู่ค้า และลูกค้า แล้วถ้าฟังแล้วมีเหตุผลจริงก็ยอมรับ พร้อมกับเอามาปรับปรุงให้การงานต่าง ๆ กลับเข้าเส้นทางที่ถูกต้อง … ส่วนคนที่กลัวความเห็นจากคนอื่น ก็เสี่ยงมากที่จะล้มทั้งยืน เพราะไม่รู้ตัว/รู้ช้า ว่ากำลังเดินลงเหว (และส่วนใหญ่ก็จะเดินลงเหว — คนรวยก็สามารถหลงเดินไปเส้นทางที่พาไปลงเหวได้เช่นกัน แต่เค้ารับฟังเสียงเตือน ว่านั่นน่ะผิดทาง)
อย่างที่บอกไว้แต่แรก ว่าคนรวยสร้างเอง ก็เกิดมาเป็นคนธรรมดา แต่ด้วยทัศนคติที่ใช่ และการกระทำที่ใช่ (ผ่านการต่อสู้ฝ่าฟัน และปรับตัว) คนธรรมดาก็รวยได้ สำเร็จได้ … ด้วยตัวเอง
และถ้าเราเชื่อว่า ทัศนคติที่ใช่นั้น “สร้างได้” ไม่ต้องลุ้นให้มีติดตัวมาแต่เกิดแบบพรสวรรค์ … เราก็สามารถสร้างทัศนคติที่ใช่ของเราเองได้เช่นกัน
• เนื้อหาต้นทาง (เสริมประเด็นและอธิบายเพิ่มโดย TIF): businessinsider.com
 ภาพประกอบ: Ted.com (เป็นคลิปที่ Bill Gates และภรรยาไปพูดเรื่องการบริจาคเงินและลงแรงเพื่อประโยชน์ส่วนรวม)