หุ้นตัวนี้ซื้อหรือ ถือยาวได้หรือไม่ มักเป็นคำถามยอดฮิตของนักลงทุนทั่วๆไป หุ้นซึ่งเป็นตัวแทนของ บริษัทมหาชนที่นำเงินของนักลงทุนไปลงทุนในระบบเศรษฐกิจนั้น เราสามารถแยกแยะบริษัทที่ดีได้ด้วยลักษณะทางปริมาณและคุณภาพได้ นอกจากนั้นยังหาปัจจัยคุณสมบัติที่ทำให้บริษัทนั้นได้เปรียบได้
บทความมีขนาดยาวเพราะด้วยหัวข้อจำนวนมาก และส่วนมากเป็นศิลป์มากกว่าศาสตร์ที่ต้องใช้บรรยายความ ถ้าไม่คุ้นเคยกับตัวหนังสือเยอะก็ดูแต่รูปด้านล่าง แล้วเอาไปนึกดูตอนอาบน้ำ ทานข้าวก็ได้ว่าหมายความถึงอะไร แม้จะอ่านข้อความทั้งหมดก็ยังต้องนำไปต่อยอดฝึกประสบการณ์เพิ่มเติม ส่วนที่เป็นศิลป์ตีความได้หลายแง่ แม้จะมีกรอบกำหนด
บริษัทที่ดี ราคาอาจไม่น่าสนใจ ก็จะทำให้หุ้นนั้นยังไม่ดีได้ บริษัทที่ดีและราคาที่ดีจึงจะหมายถึงหุ้นที่ดีได้ ในที่นี้จะกล่าวถึงส่วนแรกคือ บริษัทที่ดี ส่วนราคาที่ดีจะไม่กล่าวถึง
บริษัทที่ดีแต่ราคาไม่น่าสนใจ สิ่งที่นักลงทุนทำได้คือเฝ้าติดตาม จนราคาน่าสนใจซึ่งจะต่างจากการ
หาหุ้นที่ราคาน่าสนใจ แต่อาจไม่ดี จะซื้อของที่ถูกแต่ไม่ดีมาหวังให้กลายเป็นบริษัทดีก็คงไม่ดีแน่
แต่หลักการ หุ้นดี=บริษัทดี+ราคาดี ก็จะใช้ได้เสมอ
ในหุ้นกลุ่มวัฏจักรที่ราคาวิ่งขึ้นตามราคา commodity เป็นลักษณะราคาดี คือถูกทุ่มลงมาข้างล่างหนักมาก แต่บริษัทไม่ได้ดีจริง คือถ้าถูกลากขึ้นสูงยังก็ต้องกลับสูสามัญ
เราจะไม่เรียกบริษัท commodity ว่าเป็นบริษัทดี เป็นแค่บริษัทพื้นๆ เป็นสาเหตุของดอยมากมาย
การเล่นหุ้นกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้เทคนิคเข้าช่วยเช่น MACD จึงจะปลอดภัย ซึ่งบางครั้งกำไรได้ดีกว่าบริษัทดีทำได้ แต่การเล่นหุ้นดีดูจะทำให้คนซื้อนอนหลับสบายมากกว่าที่ไม่ต้องมากังวลว่าวัฎจักร commodity จะจบเมื่อไหร่ ซึ่งแน่นอนไม่มีใครโทรบอกนอกจากจะทุบลงมาแล้ว จึงรู้ตัว
การแยกแยะบริษัทที่ดีออกจากบริษัทธรรมดาได้ ถือว่าการลงทุนใกล้ความสำเร็จแล้วเกินครึ่งทาง Value investment ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง บางทีแค่แยกบริษัทที่ดี แล้วซื้อราคาปกติไม่ต้องถูกมากนัก ก็ประสบความสำเร็จได้แล้ว
ลักษณะที่ดีทางปริมาณ
บทความมีขนาดยาวเพราะด้วยหัวข้อจำนวนมาก และส่วนมากเป็นศิลป์มากกว่าศาสตร์ที่ต้องใช้บรรยายความ ถ้าไม่คุ้นเคยกับตัวหนังสือเยอะก็ดูแต่รูปด้านล่าง แล้วเอาไปนึกดูตอนอาบน้ำ ทานข้าวก็ได้ว่าหมายความถึงอะไร แม้จะอ่านข้อความทั้งหมดก็ยังต้องนำไปต่อยอดฝึกประสบการณ์เพิ่มเติม ส่วนที่เป็นศิลป์ตีความได้หลายแง่ แม้จะมีกรอบกำหนด
บริษัทที่ดี ราคาอาจไม่น่าสนใจ ก็จะทำให้หุ้นนั้นยังไม่ดีได้ บริษัทที่ดีและราคาที่ดีจึงจะหมายถึงหุ้นที่ดีได้ ในที่นี้จะกล่าวถึงส่วนแรกคือ บริษัทที่ดี ส่วนราคาที่ดีจะไม่กล่าวถึง
บริษัทที่ดีแต่ราคาไม่น่าสนใจ สิ่งที่นักลงทุนทำได้คือเฝ้าติดตาม จนราคาน่าสนใจซึ่งจะต่างจากการ
หาหุ้นที่ราคาน่าสนใจ แต่อาจไม่ดี จะซื้อของที่ถูกแต่ไม่ดีมาหวังให้กลายเป็นบริษัทดีก็คงไม่ดีแน่
แต่หลักการ หุ้นดี=บริษัทดี+ราคาดี ก็จะใช้ได้เสมอ
ในหุ้นกลุ่มวัฏจักรที่ราคาวิ่งขึ้นตามราคา commodity เป็นลักษณะราคาดี คือถูกทุ่มลงมาข้างล่างหนักมาก แต่บริษัทไม่ได้ดีจริง คือถ้าถูกลากขึ้นสูงยังก็ต้องกลับสูสามัญ
เราจะไม่เรียกบริษัท commodity ว่าเป็นบริษัทดี เป็นแค่บริษัทพื้นๆ เป็นสาเหตุของดอยมากมาย
การเล่นหุ้นกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้เทคนิคเข้าช่วยเช่น MACD จึงจะปลอดภัย ซึ่งบางครั้งกำไรได้ดีกว่าบริษัทดีทำได้ แต่การเล่นหุ้นดีดูจะทำให้คนซื้อนอนหลับสบายมากกว่าที่ไม่ต้องมากังวลว่าวัฎจักร commodity จะจบเมื่อไหร่ ซึ่งแน่นอนไม่มีใครโทรบอกนอกจากจะทุบลงมาแล้ว จึงรู้ตัว
การแยกแยะบริษัทที่ดีออกจากบริษัทธรรมดาได้ ถือว่าการลงทุนใกล้ความสำเร็จแล้วเกินครึ่งทาง Value investment ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง บางทีแค่แยกบริษัทที่ดี แล้วซื้อราคาปกติไม่ต้องถูกมากนัก ก็ประสบความสำเร็จได้แล้ว
ลักษณะที่ดีทางปริมาณ
- Earning เติบโตอย่างต่อเนื่องแบบคาดเดาได้ Earning หรือ Profit หรือ กำไรที่บริษัททำได้ในแต่ละปีหรือไตรมาส ต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีลดลงบ้าง แต่ก็อยู่ในทิศเพิ่มขึ้น ตามรูป และส่วนที่สำคัญคือ ต้องเป็นลักษณะที่เพิ่มสม่ำเสมอแบบคาดเดาได้จะบ่งบอกถึงบริษัทมีความมั่นคงทางรายได้ตามกำไรไปด้วย บริษัทมีความแข็งแกร่งทั้งการเพิ่มรายได้ และกำไรได้ต่อเนื่อง บริษัทได้มุ่งเน้นต่อธุรกิจที่ทำอยู่ให้ขยายได้ตามความสามารถของธรุกิจ และเป็นเรื่องดีที่นักลงทุนจะคำนวณกำไรคาดหวังในอนาคตได้ง่ายดาย นักลงทุนจะสบายใจกว่ากับบริษัทที่โตต่อเนื่อง 20% ไปได้หลายปี ดีกว่าบริษัทที่ บางปีโต 5% บางปีโต 30% แล้วก็ลดกลับลงมา 2%
- Profit margin อยู่ในระดับสูง บริษัทที่ดี จะมีอำนาจต่อรองเรื่อง ราคากับ supplier และลูกค้าในระดับที่ควบคุมได้ในขณะที่บริษัทกำลังขยายตัว บริษัทที่ต้องการขยายกิจการอย่างรวดเร็วในบางกรณีอาจต้องใช้กลยุทธด้านราคาเพื่อแข่งขัน หรือไม่มีอำนาจควบคุม margin ในกรณีบริษัท commodity ที่ราคาซื้อขายสินค้าขึ้นกับตลาดล่วงหน้า เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ปิโตร ค่าระวางเรือ ยางพารา เป็นต้น คุณภาพของสินค้าบริการจะอยู่ในคุณภาพที่ดีและสามารถทำกำไรขั้นต้น(Gross margin), กำไรสุทธิ(Net margin) ได้อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ในรูปจะเป็นกำไรสุทธิซึ่งเป็นผลรวมของการดำเนินงาน บางบริษัทกำไรขั้นต้นสูง แต่ กำไรสุทธิแกว่งตัวขึ้นลง เพราะจำเป็นต้องใช้ promotion ส่งเสริมการขายจำนวนมาก
- Debt อยู่ในระดับต่ำ บริษัทที่เติบโตมักต้องการเงินทุนทั้งที่อยู่ในรูปแบบ เงินกู้ หุ้นเพิ่มทุน อยู่สม่ำเสมอ ถ้าการขยายสินทรัพย์จำเป็นต้องใช้ หนี้สินในอัตราที่มากเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้น การขยายตัวในท้ายที่สุดจะพบว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะมากกว่ากำไรที่ทำได้ ซึ่งจะมีผลกระทบ credit ความน่าเชื่อถือเมื่อจะต้องการเงินทุนเพิ่ม คงไม่ดีแน่ถ้าคนที่ยืมเงินเรามีหนี้สินมากจนรายได้จ่ายไม่ทัน บริษัทที่มีหนี้สินในระดับสูง D/E จะสูง อัตราส่วนสภาพคล่องจะต่ำกว่า 1 มีพฤติกรรมเพิ่มทุนบ่อยครั้งไม่สิ้นสุด ไม่สามารถเอากำไรมาลงทุนขยายงานได้
- Industry Trend อุตสาหกรรมหมายถึงบริษัทอื่นๆที่ผลิตสินค้าและบริการคล้ายคลึงกัน ได้รับผลประโยชน์จากความต้องการ(Demand) เพิ่มขึ้นจนบริษัทใดบริษัทหนึ่ง(Supply)จะดูดซับได้ทัน ให้นึกถึงการเข้าแถวขึ้นลงบันไดเลื่อน จำนวนขึ้นถ้ามากถึงระดับนึง การเพิ่มบันไดเลื่อนจะเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งนี้ใน Sector ของ SET บางกลุ่มได้รวมบริษัทที่ไม่คล้ายกันมารวมไว้ด้วยกัน จำเป็นต้องแยกแยะให้ชัดเจน เช่น Prop ได้รวมบริษัทสร้างบ้านขาย และกลุ่มรับเหมาเข้าไว้ด้วยกัน ถ้ากลุ่มรับเหมาที่มีประเด็นพรบ. 2.2 ล้าน จะได้ประโยชน์ในชั้นต้น บริษัทสร้างบ้านขายอาจไม่ได้ผลประโยชน์มาก เหมือนกลุ่มรับเหมา การพิจารณาว่า Trend อุตสาหกรรมไหนจะมาอาจติดตามได้จากข่าวทั่วๆไป หรืองบการเงินของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ว่าเติบโตดีเหมือนกันหรือไม่
- Market Share บริษัที่เป็นผู้นำตลาดเมื่อมีความต้องการจำนวนมากมักจะได้ประโยชน์จำนวนมากก่อนจะหลงเหลือไปให้ ผู้ตามในอันดับถัดมา เพราะความเหนือกว่าในด้านช่องทางจำหน่าย ราคาต่อหน่วย ต้นทุน มักได้เปรียบเสมอ
- CEO Vision ถึงแม้ชื่อจะเหมือนรายงานวิทยุ แต่เป็นเรื่องที่สำคัญที่ผู้นำองค์กรจะนำพาองค์กรไปทิศทางใด บางบริษัทที่ดีอยู่แล้ว แม้เอา CEO ที่ไม่เก่งมาบริหารบริษัทก็อาจจะอยู่รอด แต่การขยายตัวทางรายได้กำไร อาจไม่น่าประทับใจ ทำไมผลตอบแทนของ CEO ในต่างประเทศมากมายเป็นระดับนักกีฬาระดับโลกได้ CEO ไม่ได้มีหน้าที่ออกทีวี วิทยุหรือหนังสือพิมพ์เท่านั้น เพราะบริษัทที่ดี ที่มี CEO ที่ดี หาทุน ตลาด ลูกค้า วัตถุดิบ พนักงาน ช่องทางการจำหน่าย ที่เหมาะสม จะเป็นสองแรงที่ช่วยเสริมกันได้ดี
- Catalyst ตัวเร่งรายได้ บริษัทโดยปกติจะเติบโตในระดับธรรมดาถ้าไม่มีตัวเร่ง ส่วนมากจะเติบโตใกล้เคียง 10 % แต่ในบริษัทที่มีตัวเร่งเช่น นักท่องเที่ยวทะลักสุวรรณภูมิ บ.ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะน่าสนใจจากที่โตตามธรรมชาติ 10% จะกลายเป็น 20-30% ได้อย่างง่ายดาย บริษัทอาจมีผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการแบบใหม่ ความนิยมของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นก็เป็นตัวเร่งได้ดี
4. จำเป็นต้องเจาะลึกจากรายงานประจำปี Opp day ข่าวบริษัท ข่าวเศรษฐกิจทั่วไป ธปท. BOI GDP ซึ่งต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์แยกแยะว่า บริษัทแบบไหนจะได้ประโยชน์ โดยปกติจะไม่มีรายละเอียดที่ตายตัว เพราะจะเปลี่ยนไปตามสภาวะการแข่งขัน สภาพเศรษฐกิจ แค่มีจุดร่วมที่ว่าบริษัทแบบใดจะได้ประโยชน์
Industry Trend อาจดูได้จากงบการเงิน รายงานประจำปี ของบริษัทอื่นๆที่ทำธรุกิจใกล้เคียงกัน ถ้าพบว่ามีหลายบริษัทที่เติบโตทิศทางเดียวกันแบบผิดปกติก็จะสามารถพบได้
1-4 ที่กล่าวมาเป็นลักษณะของบริษัทที่ดี ซึ่งเป็นผลลัพธ์ซึ่งเกิดมาจากคุณสมบัติของบริษัท หรือธรรมชาติที่บริษัทมีอยู่ ลักษณะคือผลลัพธ์ที่เกิดจากคุณสมบัติ ลักษณะที่ดีเกิดขึ้นมาได้เพราะคุณสมบัติที่ดีของบริษัท ในบางช่วงจังหวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว คุณลักษณะของบริษัทจะพบว่าไม่น่าสนใจ แต่คุณสมบัติของบริษัทจะสามารถคงสภาพที่ดีได้ต่อไป เมื่อเศรษฐกิจกลับมาเติบโต บริษัทที่มีคุณสมบัติจะได้ประโยชน์ที่น่าสนใจเสมอ
คุณสมบัติของบริษัทที่ดีคือ ความได้เปรียบทางการแข่งขันแบบถาวร(Durable Competative Advantage ) ซึ่งมีองค์ประกอบหลากหลาย บางบริษัทมีหลายองค์ประกอบ บางบริษัทมีแค่ 1 อย่างก็สามารถสร้างความแตกต่างจากบริษัทที่ไม่มีได้อย่างมาก
- Monopoly ผูกขาด อาจเป็นการผูกขาดด้วยสัญญาจากรัฐ สัมปทาน หรือเทคโนโลยี เมื่อลูกค้าต้องการสินค้าและบริการจำเป็นต้องใช้ของบริษัทนี้เท่านั้น บริษัทที่เป็นสาธารณูประโภคส่วนมากจะผูกขาด บริษัทที่สามารถขึ้นราคาขายโดยไม่มีประชาชนมาประท้วงจะเป็นบริษัทที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะขึ้นราคาขายเท่าไหร่ ลูกค้าก็ยินดีที่จะจ่าย
- Little competitive มีผู้แข่งขัน 2-3 ราย จะไม่พบว่ามีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ราคาสินค้าจะแพงเหมือนกันทุกๆราย
- Switching Cost ลูกค้าที่ใช้บริการอยู่ ถ้าต้องการซื้อของรายอื่นจะพบว่าตัวเองจะยุ่งยากในการเปลี่ยนระบบ Microsoft window เป็นตัวอย่างที่ดี ที่โปรแกรมจำนวนมากมีเฉพาะใน Windows เท่านั้น
- Network เครือข่ายของช่องทางการจำหน่ายที่กว้างขวาง การสต็อกสินค้าที่ใกล้กับแหล่งขาย จะสร้างความได้เปรียบ คงไม่ดีแน่ถ้าลูกค้าต้องการซื้อสินค้าซักชิ้นแล้วต้องขับรถ 20 นาทีเพื่อจะให้ได้สินค้า ทั้งนี้ก็รวม
- Economies of Scale การประหยัดจากขนาดผลิต เมื่อผลิตสินค้าจำนวนมาก ต้นทุนต่อหน่วยจะลดลงจนทำให้กำไรที่ได้มากขึ้น ในมุมมองที่ลึกกว่าจะเป็นการลงทุนที่น้อยแต่ได้รายได้จำนวนมาก บริษัทที่มีคุณลักษณะนี้ส่วนมากจะพบว่ามีการ ซื้อหุ้นคืน(Buyback) เพราะกำไรที่ได้ไม่จำเป็นต้องเอาไปลงทุน การซื้อหุ้นคืนเป็นกิจกรรมที่นักลงทุนควรติดตาม บางบริษัทอาจไม่ต้องการขยายกิจการจึงเอาเงินมาซื้อหุ้นคืนใน ขณะที่กำไรของบริษัทก็ยังคงหดตัว เป็นเทคนิคทางการเงินที่ทำให้ดูเหมือน บริษัทมีความได้เปรียบที่ต่างจาก บริษัทใช้เงินลงทุนน้อยในขณะที่กำไรก็ยังเพิ่มขึ้น
- Unique of Product สินค้าที่ผลิตได้เจ้าเดียวซึ่งอาจผูกขาดด้วยเทคโนโลยี ต้นทุนหรือวัตถุดิบ ง่ายต่อการตั้งราคาขาย และสามารถตั้ง margin ได้สูงมากพอจะเอามาลงทุนโดยไม่ต้องสร้างหนี้สินเพิ่ม
- Barrier อุปสรรคป้องกันคู่แข่งเข้าสู่ตลาด ในธุรกิจที่กำไรสูงจะมีแรงจูงใจให้คู่แข่งเข้าสู่ตลาดเดียวกัน ถ้ามีผู้สนใจจำนวนมาก กลยุทธการลดราคาคงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสม่ำเสมอ การป้องกันด้วยใบอนุญาต เครือข่ายจะช่วยคงกำไรให้อยู่ในระดับสูงได้ barrier มีส่วนคล้ายคลึงกับ monopoly
- Brand สินค้าที่ทำสภาพตลาดบน องค์ประกอบราคาที่สูงที่สุดไม่ใช่ วัตถุดิบ ค่าแรงหรือค่าออกแบบ แต่เป็นค่าความนิยมหรือ brand สินค้าที่สร้างมายาวนานด้วยการโฆษณา คุณภาพสินค้า กระแสสังคม ในบาง brand ราคาสินค้ามากถึง 70% ของราคาขาย brand ที่แข็งแกร่งจะเป็นสิ่งที่จูงใจลูกค้าอย่างมาก การตั้งราคาให้สูงจน ROE>80 ก็มีให้เห็นในบริษัทที่ได้เปรียบเหล่านี้ ตั้งราคาสูงแค่ไหนคนก็เข้าคิวซื้อ
การแยกแยะลักษณะบริษัทดี ไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าบริษัทเหล่านั้นไม่ดีตลอดไปเป็นแต่เพียง ลักษณะที่จะส่งเสริมให้บริษัทมีผลตอบแทนที่น่าสนใจ และเติบโตต่อเนื่องในช่วงเวลานั้นๆ ถ้าคุณสมบัติเปลี่ยนจากบริษัท ที่ไม่เข้าเกณฑ์ก็จะกลับมาน่าสนใจได้ เช่นเดียวกับบริษัทที่ดี ก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกันต้องติดตามกิจการอย่างต่อเนื่อง
การใช้อัตราส่วนทางการเงินง่ายๆเช่น PE ต่ำ ,PBV<1, ROE สูง >15,Div>5%,PEG<1 คงไม่ได้บอกอะไรที่เกี่ยวกับบริษัทที่ดีนัก
การใช้อัตราส่วนทางการเงินง่ายๆเช่น PE ต่ำ ,PBV<1, ROE สูง >15,Div>5%,PEG<1 คงไม่ได้บอกอะไรที่เกี่ยวกับบริษัทที่ดีนัก
การจะแยกได้ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์มากกว่าการใช้แค่คณิตศาสตร์เปรียบเทียบ
ถ้าทดลอง ใช้ Ratio PE,PBV,ROE ที่ดีเปรียบเทียบธรรมดา ผลลัพธ์ที่ได้จะได้หุ้นกลุ่มนึงที่มีงบการเงินดูดีในระยะสั้น ซึ่งจะเป็นไปตามกฏส่วนน้อย คือมีแค่ 10% ที่ดีจริงๆ ที่เหลือดีชั่วคราว คงไม่ดีถ้าต้องเปลี่ยนหุ้นที่ซื้อบ่อยๆ เพราะไปเหมาของดีและไม่ดีมา บริษัทที่ดีมีงบการเงินดีเสมอ บริษัทที่งบการเงินดีอาจเป็นบริษัทที่ไม่ได้ก็ได้
จากลักษณะ และคุณสมบัติของบริษัทที่ดีพบว่า มี ลักษณะเล็กน้อยที่อ่านได้ในงบการเงิน ที่เหลือส่วนมากต้องเจาะลึกใช้หลายช่องทางเพื่อให้ได้ข้อมูลเหล่านั้น
ลองนึกถึงการซื้อหุ้น 10 ตัวแล้วต้องมาไล่เรียง 10 กว่าหัวข้อเหล่านี้ และยังต้องดูคู่แข่งด้วยปัจจัยเดียวกันคงไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาเล็กน้อยแน่นอน ซื้อหุ้นจำนวนน้อยในสิ่งที่เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งจะทำให้ลดความผิดพลาดในปัจจัยทางคุณภาพได้ง่ายกว่ามีหุ้นจำนวน 10-20 เป็นแน่
อย่างไรก็ดี การแยกแยะเบื้องต้นที่สะดวกก็ยังคงต้องใช้งบการเงิน ที่มีลักษณะ 1-3 ถ้าผ่านจึงไปดูลักษณะ คุณสมบัติอื่นๆเพิ่มเติม บริษัทที่ 1-3 ดีไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป จำเป็นต้องดี 1-4 และมี Durable Competitive Advantage จึงจะดีและทนทานจริง
บริษัทดี =รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม หนี้สินน้อย เติบโตได้ต่อเนื่องยาวนาน
Value is what you get.
Warren Buffett
ถ้าทดลอง ใช้ Ratio PE,PBV,ROE ที่ดีเปรียบเทียบธรรมดา ผลลัพธ์ที่ได้จะได้หุ้นกลุ่มนึงที่มีงบการเงินดูดีในระยะสั้น ซึ่งจะเป็นไปตามกฏส่วนน้อย คือมีแค่ 10% ที่ดีจริงๆ ที่เหลือดีชั่วคราว คงไม่ดีถ้าต้องเปลี่ยนหุ้นที่ซื้อบ่อยๆ เพราะไปเหมาของดีและไม่ดีมา บริษัทที่ดีมีงบการเงินดีเสมอ บริษัทที่งบการเงินดีอาจเป็นบริษัทที่ไม่ได้ก็ได้
จากลักษณะ และคุณสมบัติของบริษัทที่ดีพบว่า มี ลักษณะเล็กน้อยที่อ่านได้ในงบการเงิน ที่เหลือส่วนมากต้องเจาะลึกใช้หลายช่องทางเพื่อให้ได้ข้อมูลเหล่านั้น
ลองนึกถึงการซื้อหุ้น 10 ตัวแล้วต้องมาไล่เรียง 10 กว่าหัวข้อเหล่านี้ และยังต้องดูคู่แข่งด้วยปัจจัยเดียวกันคงไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาเล็กน้อยแน่นอน ซื้อหุ้นจำนวนน้อยในสิ่งที่เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งจะทำให้ลดความผิดพลาดในปัจจัยทางคุณภาพได้ง่ายกว่ามีหุ้นจำนวน 10-20 เป็นแน่
อย่างไรก็ดี การแยกแยะเบื้องต้นที่สะดวกก็ยังคงต้องใช้งบการเงิน ที่มีลักษณะ 1-3 ถ้าผ่านจึงไปดูลักษณะ คุณสมบัติอื่นๆเพิ่มเติม บริษัทที่ 1-3 ดีไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป จำเป็นต้องดี 1-4 และมี Durable Competitive Advantage จึงจะดีและทนทานจริง
บริษัทดี =รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม หนี้สินน้อย เติบโตได้ต่อเนื่องยาวนาน
Value is what you get.
Warren Buffett
Data Source : http://stocktutors.blogspot.com