25 ตุลาคม 2557

ตลาดหุ้นไทย เปรียบเทียบกับ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) Gross Domestic Product (GDP) ในประเทศไทยเป็นมูลค่า 387.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2013 มูลค่าจีดีพีของประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 0.62 ของเศรษฐกิจโลก. จีดีพีในประเทศไทยเฉลี่ย 96.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 1960 จนถึง 2013 ถึงสูงตลอดเวลาของ 387.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2013 และต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 2.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1960


หากเปรียบเทียบตลาดหุ้นไทย กับ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเป็นดังรูปข้างล่าง


GDP เพิ่มขึ้น SET ก็ขึ้นด้วย ถ้า GDP ลดลง SET ก็ตกลงด้วย เช่นจากกราฟที่ปี 2009 หุ้นตกลงมาที่ระดับ 400  และ GDP ก็ตกลงมาที่  263.71 จากปี 2008 อยู่ที่ 272.58

24 ตุลาคม 2557

หุ้นไทย เทียบกับ หุ้นเพื่อนบ้านในอาเซียน (ปี 2006-2014)

หุ้นไทย เทียบกับ หุ้นฟิลิปปินส์ ค่อนข้างเทียบเคียงกันได้ (comform) ขึ้นก็ขึ้นด้วยกัน ลงก็ลงด้วยกัน

หุ้นไทย เทียบกับ หุ้นอินโดนีเซีย คล้ายกับหุ้นฟิลิปปินส์ ค่อนข้างเทียบเคียงกันได้ (comform) ขึ้นก็ขึ้นด้วยกัน ลงก็ลงด้วยกัน

หุ้นไทย เทียบกับ หุ้นเวียดนาม ยังเปรียบเทียบกันยากเนื่องจากข้อมูลยังน้อย แต่ถ้าดูจากกราฟ ยังไม่ไปด้วยกัน

หุ้นไทย เทียบกับ หุ้นมาเลเซีย ส่วใหญ่ก็เทียบเคียงกันได้ (comform) ขึ้นก็ขึ้นด้วยกัน ลงก็ลงด้วย แต่ช่วงปี 2014 มีบางช่วงที่ขึ้นลงแบบตรงข้ามกัน

หุ้นไทย เทียบกับ หุ้นสิงคโปร์ ส่วนใหญ่ค่อนข้างเทียบเคียงกันได้ (comform) ขึ้นก็ขึ้นด้วยกัน ลงก็ลงด้วยกัน แต่หุ้นไทยมีความผันผวนมากกว่า

สรุป หุ้นไทย หุ้นฟิลิปปินส์ หุ้นอินโดนีเซีย หรือประเทศในกลุ่ม TIP มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมากที่สุด แทบจะเป็นเส้นเดียวกัน จากกราฟ ผมคิดว่าปัจจัยภายในอย่างเช่น การเมืองในบ้านเรา มีผลบ้างแต่ไม่มาก impact น่าจะมาจากปัจจัยภายนอกประเทศมากกว่า เช่น เศรษฐกิจระหว่างประเทศ และ กระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศ

15 เมษายน 2557

บริษัทดี ไม่ดี ดูจากอะไร โดย stocktutors


 
หุ้นตัวนี้ซื้อหรือ ถือยาวได้หรือไม่ มักเป็นคำถามยอดฮิตของนักลงทุนทั่วๆไป หุ้นซึ่งเป็นตัวแทนของ บริษัทมหาชนที่นำเงินของนักลงทุนไปลงทุนในระบบเศรษฐกิจนั้น เราสามารถแยกแยะบริษัทที่ดีได้ด้วยลักษณะทางปริมาณและคุณภาพได้ นอกจากนั้นยังหาปัจจัยคุณสมบัติที่ทำให้บริษัทนั้นได้เปรียบได้
บทความมีขนาดยาวเพราะด้วยหัวข้อจำนวนมาก และส่วนมากเป็นศิลป์มากกว่าศาสตร์ที่ต้องใช้บรรยายความ ถ้าไม่คุ้นเคยกับตัวหนังสือเยอะก็ดูแต่รูปด้านล่าง แล้วเอาไปนึกดูตอนอาบน้ำ ทานข้าวก็ได้ว่าหมายความถึงอะไร แม้จะอ่านข้อความทั้งหมดก็ยังต้องนำไปต่อยอดฝึกประสบการณ์เพิ่มเติม ส่วนที่เป็นศิลป์ตีความได้หลายแง่ แม้จะมีกรอบกำหนด
บริษัทที่ดี ราคาอาจไม่น่าสนใจ ก็จะทำให้หุ้นนั้นยังไม่ดีได้ บริษัทที่ดีและราคาที่ดีจึงจะหมายถึงหุ้นที่ดีได้ ในที่นี้จะกล่าวถึงส่วนแรกคือ บริษัทที่ดี ส่วนราคาที่ดีจะไม่กล่าวถึง
บริษัทที่ดีแต่ราคาไม่น่าสนใจ สิ่งที่นักลงทุนทำได้คือเฝ้าติดตาม จนราคาน่าสนใจซึ่งจะต่างจากการ
หาหุ้นที่ราคาน่าสนใจ แต่อาจไม่ดี จะซื้อของที่ถูกแต่ไม่ดีมาหวังให้กลายเป็นบริษัทดีก็คงไม่ดีแน่
แต่หลักการ หุ้นดี=บริษัทดี+ราคาดี ก็จะใช้ได้เสมอ

ในหุ้นกลุ่มวัฏจักรที่ราคาวิ่งขึ้นตามราคา commodity เป็นลักษณะราคาดี คือถูกทุ่มลงมาข้างล่างหนักมาก แต่บริษัทไม่ได้ดีจริง คือถ้าถูกลากขึ้นสูงยังก็ต้องกลับสูสามัญ
เราจะไม่เรียกบริษัท commodity ว่าเป็นบริษัทดี เป็นแค่บริษัทพื้นๆ เป็นสาเหตุของดอยมากมาย
การเล่นหุ้นกลุ่มนี้จำเป็นต้องใช้เทคนิคเข้าช่วยเช่น MACD จึงจะปลอดภัย ซึ่งบางครั้งกำไรได้ดีกว่าบริษัทดีทำได้ แต่การเล่นหุ้นดีดูจะทำให้คนซื้อนอนหลับสบายมากกว่าที่ไม่ต้องมากังวลว่าวัฎจักร commodity จะจบเมื่อไหร่ ซึ่งแน่นอนไม่มีใครโทรบอกนอกจากจะทุบลงมาแล้ว จึงรู้ตัว

การแยกแยะบริษัทที่ดีออกจากบริษัทธรรมดาได้ ถือว่าการลงทุนใกล้ความสำเร็จแล้วเกินครึ่งทาง Value investment  ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง บางทีแค่แยกบริษัทที่ดี แล้วซื้อราคาปกติไม่ต้องถูกมากนัก ก็ประสบความสำเร็จได้แล้ว

ลักษณะที่ดีทางปริมาณ
  1. Earning เติบโตอย่างต่อเนื่องแบบคาดเดาได้  Earning หรือ Profit หรือ กำไรที่บริษัททำได้ในแต่ละปีหรือไตรมาส ต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีลดลงบ้าง แต่ก็อยู่ในทิศเพิ่มขึ้น ตามรูป และส่วนที่สำคัญคือ ต้องเป็นลักษณะที่เพิ่มสม่ำเสมอแบบคาดเดาได้จะบ่งบอกถึงบริษัทมีความมั่นคงทางรายได้ตามกำไรไปด้วย บริษัทมีความแข็งแกร่งทั้งการเพิ่มรายได้ และกำไรได้ต่อเนื่อง บริษัทได้มุ่งเน้นต่อธุรกิจที่ทำอยู่ให้ขยายได้ตามความสามารถของธรุกิจ และเป็นเรื่องดีที่นักลงทุนจะคำนวณกำไรคาดหวังในอนาคตได้ง่ายดาย นักลงทุนจะสบายใจกว่ากับบริษัทที่โตต่อเนื่อง 20% ไปได้หลายปี ดีกว่าบริษัทที่ บางปีโต 5% บางปีโต 30% แล้วก็ลดกลับลงมา 2%
  2. Profit margin อยู่ในระดับสูง บริษัทที่ดี จะมีอำนาจต่อรองเรื่อง ราคากับ supplier และลูกค้าในระดับที่ควบคุมได้ในขณะที่บริษัทกำลังขยายตัว บริษัทที่ต้องการขยายกิจการอย่างรวดเร็วในบางกรณีอาจต้องใช้กลยุทธด้านราคาเพื่อแข่งขัน หรือไม่มีอำนาจควบคุม margin ในกรณีบริษัท commodity ที่ราคาซื้อขายสินค้าขึ้นกับตลาดล่วงหน้า เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ปิโตร ค่าระวางเรือ ยางพารา เป็นต้น คุณภาพของสินค้าบริการจะอยู่ในคุณภาพที่ดีและสามารถทำกำไรขั้นต้น(Gross margin), กำไรสุทธิ(Net margin) ได้อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ในรูปจะเป็นกำไรสุทธิซึ่งเป็นผลรวมของการดำเนินงาน บางบริษัทกำไรขั้นต้นสูง แต่ กำไรสุทธิแกว่งตัวขึ้นลง เพราะจำเป็นต้องใช้ promotion ส่งเสริมการขายจำนวนมาก
  3. Debt อยู่ในระดับต่ำ บริษัทที่เติบโตมักต้องการเงินทุนทั้งที่อยู่ในรูปแบบ เงินกู้ หุ้นเพิ่มทุน อยู่สม่ำเสมอ ถ้าการขยายสินทรัพย์จำเป็นต้องใช้ หนี้สินในอัตราที่มากเมื่อเทียบกับส่วนผู้ถือหุ้น การขยายตัวในท้ายที่สุดจะพบว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะมากกว่ากำไรที่ทำได้ ซึ่งจะมีผลกระทบ credit ความน่าเชื่อถือเมื่อจะต้องการเงินทุนเพิ่ม คงไม่ดีแน่ถ้าคนที่ยืมเงินเรามีหนี้สินมากจนรายได้จ่ายไม่ทัน บริษัทที่มีหนี้สินในระดับสูง D/E จะสูง อัตราส่วนสภาพคล่องจะต่ำกว่า 1 มีพฤติกรรมเพิ่มทุนบ่อยครั้งไม่สิ้นสุด ไม่สามารถเอากำไรมาลงทุนขยายงานได้
ลักษณะที่ดีทางคุณภาพ 4.ทิศทางบริษัท บริษัทอยู่ในทิศที่เติบโตได้ดีมาก
  • Industry Trend อุตสาหกรรมหมายถึงบริษัทอื่นๆที่ผลิตสินค้าและบริการคล้ายคลึงกัน ได้รับผลประโยชน์จากความต้องการ(Demand) เพิ่มขึ้นจนบริษัทใดบริษัทหนึ่ง(Supply)จะดูดซับได้ทัน ให้นึกถึงการเข้าแถวขึ้นลงบันไดเลื่อน จำนวนขึ้นถ้ามากถึงระดับนึง การเพิ่มบันไดเลื่อนจะเป็นเรื่องจำเป็น  ทั้งนี้ใน Sector ของ SET บางกลุ่มได้รวมบริษัทที่ไม่คล้ายกันมารวมไว้ด้วยกัน จำเป็นต้องแยกแยะให้ชัดเจน เช่น Prop ได้รวมบริษัทสร้างบ้านขาย และกลุ่มรับเหมาเข้าไว้ด้วยกัน ถ้ากลุ่มรับเหมาที่มีประเด็นพรบ. 2.2 ล้าน จะได้ประโยชน์ในชั้นต้น บริษัทสร้างบ้านขายอาจไม่ได้ผลประโยชน์มาก เหมือนกลุ่มรับเหมา การพิจารณาว่า Trend อุตสาหกรรมไหนจะมาอาจติดตามได้จากข่าวทั่วๆไป หรืองบการเงินของบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายๆกัน ว่าเติบโตดีเหมือนกันหรือไม่
  • Market Share บริษัที่เป็นผู้นำตลาดเมื่อมีความต้องการจำนวนมากมักจะได้ประโยชน์จำนวนมากก่อนจะหลงเหลือไปให้ ผู้ตามในอันดับถัดมา เพราะความเหนือกว่าในด้านช่องทางจำหน่าย ราคาต่อหน่วย ต้นทุน มักได้เปรียบเสมอ
  • CEO Vision  ถึงแม้ชื่อจะเหมือนรายงานวิทยุ แต่เป็นเรื่องที่สำคัญที่ผู้นำองค์กรจะนำพาองค์กรไปทิศทางใด บางบริษัทที่ดีอยู่แล้ว แม้เอา CEO ที่ไม่เก่งมาบริหารบริษัทก็อาจจะอยู่รอด แต่การขยายตัวทางรายได้กำไร อาจไม่น่าประทับใจ ทำไมผลตอบแทนของ CEO ในต่างประเทศมากมายเป็นระดับนักกีฬาระดับโลกได้ CEO ไม่ได้มีหน้าที่ออกทีวี วิทยุหรือหนังสือพิมพ์เท่านั้น เพราะบริษัทที่ดี ที่มี CEO ที่ดี หาทุน ตลาด ลูกค้า วัตถุดิบ พนักงาน ช่องทางการจำหน่าย ที่เหมาะสม จะเป็นสองแรงที่ช่วยเสริมกันได้ดี 
  • Catalyst ตัวเร่งรายได้ บริษัทโดยปกติจะเติบโตในระดับธรรมดาถ้าไม่มีตัวเร่ง ส่วนมากจะเติบโตใกล้เคียง 10 % แต่ในบริษัทที่มีตัวเร่งเช่น นักท่องเที่ยวทะลักสุวรรณภูมิ บ.ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจะน่าสนใจจากที่โตตามธรรมชาติ 10% จะกลายเป็น 20-30% ได้อย่างง่ายดาย บริษัทอาจมีผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการแบบใหม่ ความนิยมของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นก็เป็นตัวเร่งได้ดี
1.-3. สามารถดูได้จากงบการเงินที่เปรียบเทียบ 3-5 ปีก็พอจะเห็นทิศทาง รายได้ กำไร EPS ที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไร ROE  ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง DE เพิ่มขึ้นแบบช้าๆ สภาพคล่อง อยู่ในระดับดี
4. จำเป็นต้องเจาะลึกจากรายงานประจำปี Opp day ข่าวบริษัท ข่าวเศรษฐกิจทั่วไป ธปท. BOI GDP ซึ่งต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์แยกแยะว่า บริษัทแบบไหนจะได้ประโยชน์ โดยปกติจะไม่มีรายละเอียดที่ตายตัว เพราะจะเปลี่ยนไปตามสภาวะการแข่งขัน สภาพเศรษฐกิจ แค่มีจุดร่วมที่ว่าบริษัทแบบใดจะได้ประโยชน์
Industry Trend อาจดูได้จากงบการเงิน รายงานประจำปี ของบริษัทอื่นๆที่ทำธรุกิจใกล้เคียงกัน ถ้าพบว่ามีหลายบริษัทที่เติบโตทิศทางเดียวกันแบบผิดปกติก็จะสามารถพบได้

1-4 ที่กล่าวมาเป็นลักษณะของบริษัทที่ดี ซึ่งเป็นผลลัพธ์ซึ่งเกิดมาจากคุณสมบัติของบริษัท  หรือธรรมชาติที่บริษัทมีอยู่ ลักษณะคือผลลัพธ์ที่เกิดจากคุณสมบัติ ลักษณะที่ดีเกิดขึ้นมาได้เพราะคุณสมบัติที่ดีของบริษัท ในบางช่วงจังหวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว คุณลักษณะของบริษัทจะพบว่าไม่น่าสนใจ แต่คุณสมบัติของบริษัทจะสามารถคงสภาพที่ดีได้ต่อไป เมื่อเศรษฐกิจกลับมาเติบโต บริษัทที่มีคุณสมบัติจะได้ประโยชน์ที่น่าสนใจเสมอ

คุณสมบัติของบริษัทที่ดีคือ ความได้เปรียบทางการแข่งขันแบบถาวร(Durable Competative Advantage ) ซึ่งมีองค์ประกอบหลากหลาย บางบริษัทมีหลายองค์ประกอบ บางบริษัทมีแค่ 1 อย่างก็สามารถสร้างความแตกต่างจากบริษัทที่ไม่มีได้อย่างมาก
  • Monopoly ผูกขาด อาจเป็นการผูกขาดด้วยสัญญาจากรัฐ สัมปทาน หรือเทคโนโลยี เมื่อลูกค้าต้องการสินค้าและบริการจำเป็นต้องใช้ของบริษัทนี้เท่านั้น บริษัทที่เป็นสาธารณูประโภคส่วนมากจะผูกขาด บริษัทที่สามารถขึ้นราคาขายโดยไม่มีประชาชนมาประท้วงจะเป็นบริษัทที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะขึ้นราคาขายเท่าไหร่ ลูกค้าก็ยินดีที่จะจ่าย
  • Little competitive มีผู้แข่งขัน 2-3 ราย จะไม่พบว่ามีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ราคาสินค้าจะแพงเหมือนกันทุกๆราย
  • Switching Cost ลูกค้าที่ใช้บริการอยู่ ถ้าต้องการซื้อของรายอื่นจะพบว่าตัวเองจะยุ่งยากในการเปลี่ยนระบบ Microsoft window เป็นตัวอย่างที่ดี ที่โปรแกรมจำนวนมากมีเฉพาะใน Windows เท่านั้น
  • Network เครือข่ายของช่องทางการจำหน่ายที่กว้างขวาง การสต็อกสินค้าที่ใกล้กับแหล่งขาย จะสร้างความได้เปรียบ คงไม่ดีแน่ถ้าลูกค้าต้องการซื้อสินค้าซักชิ้นแล้วต้องขับรถ 20 นาทีเพื่อจะให้ได้สินค้า ทั้งนี้ก็รวม
  • Economies of Scale การประหยัดจากขนาดผลิต เมื่อผลิตสินค้าจำนวนมาก ต้นทุนต่อหน่วยจะลดลงจนทำให้กำไรที่ได้มากขึ้น ในมุมมองที่ลึกกว่าจะเป็นการลงทุนที่น้อยแต่ได้รายได้จำนวนมาก บริษัทที่มีคุณลักษณะนี้ส่วนมากจะพบว่ามีการ ซื้อหุ้นคืน(Buyback) เพราะกำไรที่ได้ไม่จำเป็นต้องเอาไปลงทุน การซื้อหุ้นคืนเป็นกิจกรรมที่นักลงทุนควรติดตาม บางบริษัทอาจไม่ต้องการขยายกิจการจึงเอาเงินมาซื้อหุ้นคืนใน ขณะที่กำไรของบริษัทก็ยังคงหดตัว เป็นเทคนิคทางการเงินที่ทำให้ดูเหมือน บริษัทมีความได้เปรียบที่ต่างจาก บริษัทใช้เงินลงทุนน้อยในขณะที่กำไรก็ยังเพิ่มขึ้น
  • Unique of Product สินค้าที่ผลิตได้เจ้าเดียวซึ่งอาจผูกขาดด้วยเทคโนโลยี ต้นทุนหรือวัตถุดิบ ง่ายต่อการตั้งราคาขาย และสามารถตั้ง margin ได้สูงมากพอจะเอามาลงทุนโดยไม่ต้องสร้างหนี้สินเพิ่ม
  • Barrier อุปสรรคป้องกันคู่แข่งเข้าสู่ตลาด ในธุรกิจที่กำไรสูงจะมีแรงจูงใจให้คู่แข่งเข้าสู่ตลาดเดียวกัน ถ้ามีผู้สนใจจำนวนมาก กลยุทธการลดราคาคงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสม่ำเสมอ การป้องกันด้วยใบอนุญาต เครือข่ายจะช่วยคงกำไรให้อยู่ในระดับสูงได้ barrier มีส่วนคล้ายคลึงกับ monopoly
  • Brand สินค้าที่ทำสภาพตลาดบน องค์ประกอบราคาที่สูงที่สุดไม่ใช่ วัตถุดิบ ค่าแรงหรือค่าออกแบบ แต่เป็นค่าความนิยมหรือ brand สินค้าที่สร้างมายาวนานด้วยการโฆษณา คุณภาพสินค้า กระแสสังคม ในบาง brand ราคาสินค้ามากถึง 70% ของราคาขาย brand ที่แข็งแกร่งจะเป็นสิ่งที่จูงใจลูกค้าอย่างมาก การตั้งราคาให้สูงจน ROE>80 ก็มีให้เห็นในบริษัทที่ได้เปรียบเหล่านี้ ตั้งราคาสูงแค่ไหนคนก็เข้าคิวซื้อ
การแยกแยะลักษณะบริษัทดี ไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าบริษัทเหล่านั้นไม่ดีตลอดไปเป็นแต่เพียง ลักษณะที่จะส่งเสริมให้บริษัทมีผลตอบแทนที่น่าสนใจ และเติบโตต่อเนื่องในช่วงเวลานั้นๆ ถ้าคุณสมบัติเปลี่ยนจากบริษัท ที่ไม่เข้าเกณฑ์ก็จะกลับมาน่าสนใจได้ เช่นเดียวกับบริษัทที่ดี ก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกันต้องติดตามกิจการอย่างต่อเนื่อง

การใช้อัตราส่วนทางการเงินง่ายๆเช่น PE ต่ำ ,PBV<1, ROE สูง >15,Div>5%,PEG<1 คงไม่ได้บอกอะไรที่เกี่ยวกับบริษัทที่ดีนัก
 
การจะแยกได้ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์มากกว่าการใช้แค่คณิตศาสตร์เปรียบเทียบ
ถ้าทดลอง ใช้ Ratio PE,PBV,ROE ที่ดีเปรียบเทียบธรรมดา ผลลัพธ์ที่ได้จะได้หุ้นกลุ่มนึงที่มีงบการเงินดูดีในระยะสั้น ซึ่งจะเป็นไปตามกฏส่วนน้อย คือมีแค่ 10% ที่ดีจริงๆ ที่เหลือดีชั่วคราว คงไม่ดีถ้าต้องเปลี่ยนหุ้นที่ซื้อบ่อยๆ เพราะไปเหมาของดีและไม่ดีมา บริษัทที่ดีมีงบการเงินดีเสมอ บริษัทที่งบการเงินดีอาจเป็นบริษัทที่ไม่ได้ก็ได้
จากลักษณะ และคุณสมบัติของบริษัทที่ดีพบว่า มี ลักษณะเล็กน้อยที่อ่านได้ในงบการเงิน ที่เหลือส่วนมากต้องเจาะลึกใช้หลายช่องทางเพื่อให้ได้ข้อมูลเหล่านั้น
ลองนึกถึงการซื้อหุ้น 10 ตัวแล้วต้องมาไล่เรียง 10 กว่าหัวข้อเหล่านี้ และยังต้องดูคู่แข่งด้วยปัจจัยเดียวกันคงไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลาเล็กน้อยแน่นอน ซื้อหุ้นจำนวนน้อยในสิ่งที่เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งจะทำให้ลดความผิดพลาดในปัจจัยทางคุณภาพได้ง่ายกว่ามีหุ้นจำนวน 10-20 เป็นแน่

อย่างไรก็ดี การแยกแยะเบื้องต้นที่สะดวกก็ยังคงต้องใช้งบการเงิน ที่มีลักษณะ 1-3 ถ้าผ่านจึงไปดูลักษณะ คุณสมบัติอื่นๆเพิ่มเติม บริษัทที่ 1-3 ดีไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป จำเป็นต้องดี 1-4 และมี Durable Competitive Advantage จึงจะดีและทนทานจริง
บริษัทดี =รายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม หนี้สินน้อย เติบโตได้ต่อเนื่องยาวนาน

Value is what you get.
Warren Buffett
 
 
 
 

21 มีนาคม 2557

10 นิสัยของคนไม่มีหนี้



ไม่ว่าท่านจะคิดจะปลดหนี้ปีนี้หรืออีกยาวไกล บทความนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านบ้างไม่มากก็น้อย ลองมองหาคนที่ไม่มีหนี้ที่ท่านรู้จัก อาจจะเป็นเพื่อน พี่น้องหรือเพื่อนร่วมงาน คนกลุ่มนี้มักจะมี 10 นิสัยคล้ายๆกันเหล่านี้ ที่กำลังจะพูดถึง ซึ่งท่านน่าจะสามารถลอกเลียนแบบนิสัยเหล่านี้ไปใช้กันได้


1. พวกเขาจะสนใจในรายละเอียดการใช้จ่าย
ท่านอาจจะไม่ได้สังเกตรายการใช้จ่ายของค่าฟิตเนสที่อยู่ๆก็โผล่มาได้ หากท่านไม่ได้ตรวจใบแจ้งหนี้อย่างละเอียด คนที่ไม่ค่อยจะได้ตรวจติดตามการใช้ง่ายเงินส่วนตัวของเค้าอย่างใกล้ชิด คนกลุ่มนี้มักจะเสียเงินโดยที่ลืมไปจ่ายและเสียค่าปรับเนื่องจากจ่ายเกินกำหนด ท่านก็สามารถเป็นคนที่สนใจในรายละเอียดได้ เพียงแค่เริ่มต้นเลยตอนนี้ พยายามตรวจสอบใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตทุกๆเดือน ถัดมาก็ตรวจสอบการใช้จ่ายทุกอย่างของท่านต่อๆไป แล้วก็เปรียบเทียบกับรายได้ของท่าน หาหนทางลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น ในหนึ่งปีให้กลับมาเช็คบ้างว่า การใช้บัตรเครคิตยังคงอยู่ในรูปแบบที่วางไว้


2. พวกเขารู้จักตัวเองดี
ผู้คนที่ไม่มีหนี้ชอบที่จะค้นคว้าหาข้อมูล พวกเขาอาจจะจ้างบัญชี แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะแค่เซ็นต์ๆเอกสาร พวกเขาจะตรวจสอบอย่างดี หากท่านต้องการจะควบคุมการเงินของท่าน ท่านต้องเรียนรู้เรื่องบัญชีไว้ มันอาจจะรู้สึกวุ่นวายอยู่บ้าง แต่หากท่านเข้าใจมันแล้วท่านก็จะรู้สึกปลอดภัยกับอะไรที่จะเกิดขึ้นกับเงินของท่านในเวลาที่ท่านมีปัญหาเกิดขึ้น


3. พวกเขาแสร้งทำตัวมีรายได้น้อย
ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นหนี้อยู่ก็ตาม ท่านก็สามารถที่จะปรับสถานการณ์ของท่านให้ดีขึ้นได้ทันทีด้วยการเปลี่ยนมุมมองต่อเงินของท่าน ลองจินตนาการว่าท่านมีรายได้น้อยลง 10%, 25% หรือแม้แต่ 50% จากที่ท่านหามาได้ ให้ท่านคำนวณการใช้จ่ายโดยใช้ฐานนี้ เริ่มแรกมันอาจจะดูเป็นไปไม่ได้ แต่ให้ลองเริ่มด้วยลดการใช้จ่ายลงมา คนที่ไม่มีหนี้นั้นใช้ชีวิตอยู่ด้วยการใช้จ่ายน้อยกว่าที่หามาได้เสมอ ทำให้คนเหล่านี้สามารถที่จะนำเงินไปซื้อบ้าน เกษียณ และใช้ในกรณีฉุกเฉินได้ สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความอิสระทางการเงินให้ท่าน ทำให้โอกาสในอนาคตของท่านเปิดกว้าง


4. พวกเขามองการไกล
มื่อการโฟกัสไม่ใช่สิ่งที่เราถนัดมากนัก คุณอาจจะยังมีวิธีอื่นที่ฉลาดกว่า แน่นอนว่าถ้าได้รองเท้าใหม่เอาไว้ไปเที่ยวคราวหน้าก็จะดี แต่ลองคิดดูว่าถ้าซื้อรองเท้าใหม่แล้วจะช่วยให้เป้าหมายทางการเงินระยะยาวเราดีขึ้นหรือเปล่า ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรซื้อรองเท้าใหม่ แต่มันหมายความว่าท่านควรจะประหยัดและเก็บเงินเพื่อซื้อมัน สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มเวลาให้ท่านคิดมากขึ้น ว่าท่านต้องการมันจริงๆหรือแค่แว้บชอบ จะทำให้ช่วยลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้ดี


5. พวกเขาไม่เขินอายที่จะถาม
ถามเพื่อขอความช่วยเหลือ ถามเพื่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง ถามเพื่อไม่ให้ถูกปรับหากจ่ายช้าไปแค่งวดเดียว คนที่ไม่มีหนี้นั้นจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับการเงิน พวกเค้าเหล่านั้นไม่ยอมเสียเปรียบเรื่องข้างต้นที่กล่าวมา ถ้าท่านรู้จักใครที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน ท่านก็ไม่ควรจะอายที่จะถามว่าเค้าคนนั้นทำอย่างไร


6. พวกเขาเก็บเงินเป็น


ไม่ว่าท่านจะได้โบนัสมาหรือได้มรดกมา ท่านควรที่จะคิดให้รอบคอบก่อนที่จะใช้จ่ายเพื่อตัวท่านเอง รวมถึงค่าใช้จ่ายประจำทั่วไปของท่าน ท่านทราบดีอยู่แล้วว่าต้องจ่ายค่าเช่าหรือค่างวดบ้าน บัญชีออมทรัพย์ก็ต้องปฏิบัติแบบเดียวกัน คือเก็บให้เป็นประจำ ถ้าให้ดีก็ทำให้โอนเข้าบัญชีอัตโนมัติ คนที่ไม่มีหนี้คิดอยู่เสมอว่าเงินเล็กน้อยในวันนี้จะทำให้คุณเป็นอิสระทางการเงินในอนาคต


7. พวกเขากำหนดเป้าหมาย
ท่านอาจจะรู้สึกไม่ค่อยอยากจะใช้เงินถ้าท่านกำหนดว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร อย่างเช่น ท่านอาจจะมีเป้าหมายชัดเจนในการเก็บเงินเพื่อไปท่องเที่ยว หรือ เก็บเพื่อเกษียณจากงาน คนที่ไม่มีหนี้จะกำหนดเป้าหมายเฉพาะเจาะจง เพื่อที่จะให้ง่ายต่อการทำให้เป้าหมายบรรลุได้ง่ายขึ้น การกำหนดเป้าหมายทำให้ท่านอยู่ในเส้นทางที่จะไปถึงเป้าหมายให้ได้ การเกษียณจากงานอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องยากสำหรับคนอายุน้อยๆ เพราะยังดูเป็นเป้าหมายที่ห่างไกลเกินไป แต่ลองนึกถึงข้อดีต่างๆ หากท่านสามารถเกษียณอายุได้เร็วขึ้น ถ้าเป็นเป้าหมายเรื่องท่องเที่ยว ลองจินตนาการสถานที่ต่างๆที่ท่านจะได้ไป ตอนนี้เป้าหมายของท่านก็เริ่มจะเฉพาะเจาะจงมากขึ้นแล้ว


8. พวกเขารู้จักปฏิเสธ
ท่านอาจจะถูกเพื่อนๆชวนให้ไปปาร์ตี้ดื่มกิน ทานข้าวเที่ยง ข้าวเย็นราคาแพงกับเพื่อนๆ ท่านจะต้องรู้จักที่จะปฏิเสธให้เป็น คนที่ไม่มีหนี้นั้นรู้จักที่จะปฏิเสธการใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆที่ไม่จำเป็น ซึ่งเล็กๆน้อยๆนี้รวมๆกันแล้วกลายเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตท่านจืดชืด น่าเบื่อ หมดสนุก แทนที่จะไปกินร้านหรู ก็หันมาหาอะไรมากินที่บ้านหรือที่คอนโด ลองทำบาร์บีคิวสังสรรค์แบบง่ายๆก็ได้ ทั้งสนุก ประหยัดและมีความสุขเช่นกัน นัดเจอเพื่อนฝูงที่สวนสาธารณะเพื่อออกกำลังกายตามสวนสาธารณะต่างๆ ก็น่าจะดีกว่าเสียเงินเข้าฟิตเนสกับเพื่อนๆราคาหลายหมื่นต่อปี ร่างกายก็แข็งแรงได้เหมือนกัน


9. พวกเขารู้จักคุณค่าของเงิน
คนที่ไม่มีหนี้นั้นรู้จักคุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ …ใช่เพราะว่าพวกเขานั้น “เห็นเงินสด” หากท่านเห็นแค่ตัวเลข ไม่เห็นตัวเงินจริงๆ มักจะทำให้คุณจ่ายเงินออกไปง่าย การได้สัมผัสจับเงินสดๆจริงๆ จะทำให้ท่านได้สัมผัสความรู้สึกจริงในการจับจ่ายใช้สอย ท่านได้เห็นว่าเงินได้หายไปกับตา หายไปจากมือ ลองหันมาใช้เงินสดสักพัก และดูความเปลี่ยนแปลงในการตัดสินใจซื้อของของท่าน


10 พวกเขาให้คุณค่ากับประสบการณ์มากกว่าวัตถุที่จะได้รับ
คนที่ไม่มีหนี้นั้นพวกเขาจะไม่โฟกัสไปยังสิ่งของ พวกเขาให้คุณค่ากับประสบการณ์การใช้งานมากกว่าการมีสิ่งของใหม่ล่าสุด คนทั่วไปนั้นมักจะหาอะไรแพงๆมาปรนเปรอครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่นั่นเป็นทางเลือกของท่านที่จะทำหรือไม่ทำ หากท่านต้องทำโอที ทำงานพิเศษเพิ่ม เพื่อหาเงินแล้วไปกินอะไรหรูๆแพงๆกับครอบครัว ท่านลองคิดใหม่ดูให้ดี จะดีกว่ามั้ยถ้าหากเราทำงานน้อยลง แต่หาอะไรเป็นมื้อเล็กๆกินกับครอบครัว แต่กินได้บ่อยขึ้น


การที่จะไม่มีหนี้นั้น ท่านจะต้องกำจัดอุปนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลายของท่านออกไป และแทนที่ด้วยนิสัยใหม่ๆดังกล่าวข้างต้น มีเป้าหมายมากขึ้น ใช้นิสัยของคนเหล่านั้นที่ไม่มีหนี้ให้มาเป็นแรงบันดาลใจของท่าน




ที่มา: http://blog.credit.com/2014/02/10-characteristics-of-debt-free-people-75230/
แปล: http://hackerlife.in.th/10-%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b5%e0%b9%89/

17 มีนาคม 2557

การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด

การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด คุณ ขาไก่ซุปเปอร์


การวิเคราะห์งบกระแสเงินสด เพื่อ ตรวจสอบการได้มาและใช้ไปของเงินสดในบริษัท ซึ่งจะเป็นส่วนอธิบายของงบดุลและงบกำไรขาดทุนอีกทีหนึ่งครับ งบกระแสเงินสดจะมีส่วนสำคัญมากเกี่ยวกับสภาพคล่องของบริษัท ซึ่งบางท่านอาจจะเคยได้ยินว่า “เงินสดคือพระเจ้า” นั่นหมายความว่า ยิ่งบริษัทมีเงินสดในมือมากเท่าไหร่ จะแสดงถึงความสามารถในการดำเนินการหรือตอบสนองการกระทำใดของบริษัทได้อย่างทันทีทันใด เปรียบเทียบกับบริษัทที่มีสินทรัพย์เป็นพันล้านแต่มีเงินสดอยู่เพียงแค่สามล้าน และหนี้สินระยะสั้นอีก หากไม่สามารถขายสินค้าได้ บริษัทก็จะขาดสภาพคล่องทันทีและต้องทำการกู้ยืมเงินมาเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งการกู้ยืมก็นำมาซึ่งดอกเบี้ยและหนี้สิน มาเสริมหนี้สินส่วนที่มีอยู่แล้วให้มากยิ่งขึ้นไปอีก แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการที่ไม่รัดกุมครับ
การวิเคราะห์งบกระแสเงินสดจะเป็นส่วนที่ค่อนข้างยากนะครับ จะมีชื่อเรียกและความหมายของแต่ละรายการจะแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละธุรกิจแต่ละบริษัท


งบกระแสเงินสดจะแบ่งเป็น 4 ส่วนสำคัญดังนี้ คือ


1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน


คือ เงินสดรับจ่ายจริงที่ได้จากการดำเนินกิจการ โดยไม่สนใจรายได้ที่ยังไม่ได้รับและค่าใช้จ่ายที่ยังไม่ได้จ่ายเงิน กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน คำนวณจากกำไรสุทธิปรับด้วยรายการที่ไม่ได้รับหรือจ่ายเงินจริง เช่น ค่าเสื่อมราคาและบวกหรือลบการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์หมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียนโดยหากสินทรัพย์หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น แสดงว่ามีการใช้ไปของเงินสด จึงต้องนำมาหักออกและหากหนี้สินหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น แสดงว่าธุรกิจยังไม่ได้ชำระเงินทำให้เงินสดในมือเพิ่มขึ้นจำต้องนำไปบวกกลับกับกำไรสุทธิ


2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน


คือ กระแสเงินสดรับจ่ายจริงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในการลงทุนของธุรกิจในส่วนของที่ดิน อาคาร อุปกรณ์ เงินลงทุน หากมีการลงทุนเพิ่ม เช่น ซื้อเครื่องจักร แสดงว่ามีการใช้ไปของเงินสด ในทางตรงข้าม หากมีการขายสินทรัพย์ออกไป จะถือว่าเป็นแหล่งได้มาของเงินสด


3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน


คือ กระแสเงินสดรับจ่ายจริงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในแหล่งที่มาของเงินทุน ทั้งที่เป็นการกู้ยืมระยะสั้น และระยะยาว เช่น เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารและกรรมการ พันธบัตร หุ้นกู้ และตั๋วสัญญาใช้เงิน การนำหุ้นทุนออกจำหน่าย และการจ่างเงินปันผล โดยหากธุรกิจมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น จะทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น สำหรับเงินปันผลจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น จะทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินลดลง


4. เงินสดเพิ่มขึ้นหรือลดลงสุทธิ


จะเท่ากับผลรวมของกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุนและกิจกรรมจัดหาเงิน และถ้ารวมเงินสดเพิ่มขึ้นหรือลดลงสุทธิ กับเงินสดต้นปี จะเท่ากับยอดเงินสดคงเหลือปลายปีในงบดุลนั่นเองครับ
มาดูหุ้น ABC ครับ สำหรับผมแล้วจะวิเคราะห์กระแสเงินสดเพื่อหาข้อผิดสังเกตของการใช้ไปและได้มาของเงินสด โดยผมจะเริ่มดูจากบรรทัดล่างสุดขึ้นมาถึงบนสุดครับ
เริ่มจากข้อ 4 เงินสดเพิ่มขึ้นหรือลดลงสุทธิ
บรรทัดที่ 3 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดต้นงวด คือเงินสดจากปีที่แล้ว หรือต้นปีงบประมาณใหม่ มีอยู่ 1002.62 ล้าน ดูต่อกันที่บรรทัดที่ 4 เลยครับคือเงินสดที่มีสินงวดคือวันที่ 30 มิถุนายน 2553 มีอยู่ 1002.46 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้แตกต่างกัน การที่เงินสดไม่แตกต่างกันนัก อาจจะเนื่องมาจากบริษัทต้องการรักษาสภาพคล่องไว้ในระดับนี้ก็เป็นไปได้ จำนวนเงินสดในบรรทัดที่ 4 จะตรงกับเงินสดหรือเทียบเท่าเงินสดที่แสดงในงบดุล ส่วนของสินทรัพย์ครับ เมื่อไม่ต่างกันก็แสดงว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นนัยสำคัญ ผมก็จะข้ามไปดูส่วนต่อไปทันทีครับ แต่หากว่านักลงทุนพบว่าเงินส่วนนี้ต่างกันเยอะมากก็ต้องไปหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดจากส่วนอื่น ๆ ครับ





ต่อมาส่วนของข้อ 3 กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน
มาดูการได้มาของเงินสดว่าได้มาจากแหล่งใด บริษัทที่ดีควรมีเงินสดจากการขายสินค้าหรือบริการ มิได้ได้มาจากการกู้ยืม หรือมีการกู้ยืมจำนวนน้อยครับ
ดูจากบรรทัดที่ 1 เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้น เพิ่มขึ้นมา 87.16 ล้านบาท
บรรทัดที่ 2 เงินกู้ยืมระยะยาวลดลงไป 34.92 ล้านบาท หมายถึงมีการให้หนี้ไป ทำให้เงินสดลดลงครับ

บรรทัดที่ 4 เงินปันผลจ่าย คือ การจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นจำนวน 180.0 ล้านบาท ทำให้เงินสดลดลงติดเป็นลบครับ
บรรทัดที่ 5 ก็ตามนั้นครับ
ข้อสังเกตที่จะพบได้ในส่วนกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินนี้คือ
หากเงินสดรวมในงบดุลหรือส่วนที่ 4 มี 1000 ล้าน แล้วมาดูกิจกรรมจัดหาเงินพบว่า มีเงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมระยะสั้นเป็นจำนวนมากเช่น 800 ล้าน ซึ่งถือเป็นเงินสดส่วนใหญ่ได้มาจากการกู้ยืม นักลงทุนควรตั้งคำถามไว้ครับว่าเพราะเหตุใดบริษัทจึงมีความจำเปิดต้องกู้ยืมเงินเยอะขนาดนี้ แล้วไปหาคำตอบในส่วนต่อไปครับ






ต่อไปส่วนที่ 2 กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน
ส่วนนี้จะบอกถึงการใช้ไปของเงินสดเพื่อการลงทุนต่าง ๆ ครับ ไล่ตามบรรทัดดังนี้
บรรทัดที่ 1 เงินลงทุนระยะสั้น – 150.0 หมายถึงมีการนำเงินไปลงทุนในระยะสั้นเพิ่มขึ้นเป็น 150 ล้าน ทำให้เงินสดลดลงครับ
บรรทัดที่ 2 และ 3 นำเงินไปเงินลงทุนในบริษัทย่อย – 3 ล้าน
บรรทัดที่ 4 และ 5 นำเงินไปลงทุนในที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ทำให้เงินสดลดลง 240 ล้าน อันนี้เนื่องมาจากบริษัทมีการขยายการผลิตจึงต้องลงทุนเพิ่ม ซึ่งการใช้ไปในส่วนนี้นักลงทุนสามารถหาข้อมูลได้จากแหล่งอื่น ๆ ครับ แหล่งใดนั้นก็แล้วแต่นักลงทุนครับ ไม่ว่าจะเป็น thaivi ข่าวสารต่าง ๆ เป็นต้นครับ แล้วเอาข้อมูลที่ได้มาประมวลว่าสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไรครับ
บรรทัดที่ 6 เงินปันผลรับ และ 7 ดอกเบี้ยรับ ก็ตามนั้นครับ เงินที่ได้จากการนำเงินไปลงทุนและดอกเบี้ยครับ
บรรทัดที่ 8 อื่น ๆ
บรรทัดที่ 9 เงินสดที่ได้มา(ใช้ไปใน) กิจกรรมาลงทุน รวมจำนวนเงินทั้งหมดที่ทั้งได้มาและใช้ไปในการลงทุน ติดลบไป 331.10 ล้านครับ คือ มีการนำเงินไปลงทุนเพิ่ม การที่บริษัทมีนโยบายนำเงินไปลงทุนเพิ่ม นักลงทุนต้องหาข้อมูลเองว่า บริษัทนำไปลงทุนในส่วนไหน และจะเป็นการลงทุนที่สามารถนำกำไรมาได้มากหรือน้อยเพียงใด และกำไรที่จะได้มานั้นจะแสดงผลมาในรูปใดและเมื่อไรครับ ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประเมิน แต่ยิ่งนักลงทุนคาดการณ์ได้แม่นยำเท่าไร ความเสี่ยงในการลงทุนยิ่งลดต่ำลงเรื่อย ๆ ครับ






ส่วนสุดท้ายคือ ส่วนที่ 1 กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน
เป็นการใช้เงินสดที่ได้มาจากการดำเนินงาน ว่าใช้ทำอะไรบ้างครับ เช่น หุ้น ABC ไล่ตามบรรทัด

เริ่มไล่ดูจากบรรทัดสุดท้ายครับ
บรรทัดที่ 1 กำไร (ขาดทุน) ก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ เป็นจำนวนเงินได้ที่มาจากการดำเนินกิจการของบริษัทครับ ได้มา 728.52 ล้านบาท เป็นรายได้ ณ ข้อมูลล่าสุด หากเป็น Q2 ก็หมายถึงรายได้ของ Q1 และ Q2 รวมกัน เป็นรายได้ครึ่งปีครับ หากเป็นสิ้นปีก็จะเป็นรายได้ทั้งปีครับ
บรรทัดที่ 2 , 3 เป็นการปรับปรุงบัญชี โดยจะตีค่าทุกอย่างเป็นตัวเลขให้หมดครับ ออกมาเป็นรายได้จำนวนหนึ่ง
บรรทัดที่ 4-7 ก็เป็นรายการตามที่แจ้งครับ
มาบรรทัดที่ 8 เงินสดได้ทั้งหมดครับ หักส่วนที่ใช้ในการดำเนินการแล้วเหลืออยู่ 686.41 ล้านบาท
บรรทัดที่ 9 สินทรัพย์ดำเนินงาน ลดลง 281.28 ล้านบาท เนื่องมาจากการใช้ไปของบรรทัดด้านล่างครับ พวกลูกหนี้และตั๋วเงินรับการค้า สินค้าคงเหลือ สินทรัพย์อื่น ๆ ครับ ส่วนตัวผมจะดูจำนวนเงินที่มากที่บริษัทใช้ไปเพื่อกิจการใด เช่น – 282 ล้าน ใช้ไปกับการใช้หนี้ในฐานนะลูกหนี้ครับ
บรรทัดที่ 10 หนี้สินดำเนินงาน ตามรายละเอียดครับ บรรทัดเจ้าหนี้เพิ่มมา 63 ล้านบาท คือ ในฐานะเราเป็นเจ้าหนี้ก็ได้เงินชำระหนี้เพิ่มขึ้นมาครับ
บรรทัดที่ 11 สินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน จ่ายไปกับการเพิ่มสินทรัพย์ ลดหนี้สินทั้งหมดครับ จะเท่ากับส่วนของบรรทัดที่ 9 รวมลงมาเรื่อย ๆ จนบรรทัดนี้ครับ ได้สุทธิ 224.07 ล้านบาท
บรรทัดที่ 12 และ 13 ตามนั้นเลยครับ
มาบรรทัดที่ 14 เงินสดสุทธิที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน มีทั้งหมด 488.5 ล้านบาท เงินจำนวนนี้เป็นเงินจากการการดำเนินกิจการของบริษัท จะเท่ากับบรรทัดที่ 8 ลบด้วย 11 ลบ 12 ลบ 13 ได้เงินสดซึ่งเป็นกำไรจากการดำเนินงานสุทธิครับ

 แหล่งที่มาของเงินสดของบริษัทมาจากการดำเนินงานและจากกิจกรรมจัดหาเงิน หากเงินสดที่มาจากการดำเนินงานเป็นลบในขณะเดียวกันจะมีเงินสดเพิ่มมาจากกิจกรรมจัดหาเงิน หากที่มาของเงินสดมาจากกิจกรรมจัดหาเงิน นักลงทุนควรตั้งคำถามไว้ครับว่า เพราะเหตุใดบริษัทจึงมีความจำเป็นต้องใช้เงินจากแหล่งอื่น กำไรไม่พอหรือไม่ ต้องขยายการผลิตหรือไม่ นักลงทุนต้องหาคำตอบมาพิจารณาครับ






สำหรับผมแล้วส่วนของงบกระแสเงินสด ผมจะดูเป็นประเด็นใหญ่ ๆ เท่านั้น คือ ดูความสัมพันธ์ของเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน กิจกรรมลงทุน กิจกรรมจัดหาทุน ว่าในแต่ละส่วนมีจุดสังเกตอะไร หรือจุดน่าสงสัยอะไรหรือไม่ อย่างไรครับ


กรณีแรก
เงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน สูง
เงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน น้อยหรือมาก ต้องพิจารณาเหตุผลประกอบ
เงินสดจากกิจกรรมจัดหาทุน น้อย

เป็นบริษัทที่ทำรายได้จากการดำเนินงาน มีสภาพคล่องสูงตามรายได้ เป็นบริษัทที่ผมสนใจมากครับ


กรณีที่สอง
เงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน น้อย
เงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน น้อยหรือมาก ต้องพิจารณาเหตุผลประกอบ
เงินสดจากกิจกรรมจัดหาทุน สูง

บริษัทที่กำลังสูญเสียสภาพคล่อง จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่งแหล่งเงินทุน บริษัทในลักษณะนี้ต้องใช้เหตุผลอื่น ๆ ประกอบเพื่อพิจารณาหาคำตอบในทุกคำถามที่เกิดขึ้นครับ ยิ่งนักลงทุนสามารถเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงได้มากเท่าไรแล้ว จะสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าสมควรลงทุนหรือไม่ครับ


งบกระแสเงินสดมีข้อดี คือ เป็นงบที่ตบแต่งบัญชียากที่สุดครับ


ผมขอยกตัวอย่างบริษัทสร้างบ้าน มีการจอง ผ่อนดาวน์ จากลูกค้าจริง แต่เงินที่เข้าบริษัทเต็มจำนวนราคาบ้านยังไม่มี มีเพียงแต่การจองและผ่อนดาวน์เท่านั้น รายได้ส่วนที่จะขายบ้านได้ทั้งหมด บางบริษัทนำมารวมเป็นรายได้ของผลประกอบการในลบดุลและงบกำไรขาดทุนแล้ว แต่หากมาดูรายละเอียดในงบกระแสเงินสดนั้น จะพบว่าไม่มีเงินจำนวนนี้เข้ามาในงบ เป็นจุดสังเกตหนึ่งที่นักลงทุนสามารถตรวจสอบได้ครับ
สำหรับบ้านเราผมว่าไม่น่าจะพบ แต่ในต่างประเทศเคยมีการตบแต่งบัญชีทำนองนี้ครับ

16 มีนาคม 2557

สถิติข้อมูลการซื้อขายหุ้นตามกลุ่มนักลงทุนแต่ละประเภท ตั้งแต่ ปี 2008 ถึง 2014 (14-02-2014)

นักลุ่มนักลงทุน แต่ละประเภท ได้แก่
  1. สถาบันในประเทศ  (Local Investors)
  2. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์  (Proprietary Trading)
  3. นักลงทุนต่างประเทศ  (Foreign Investors)
  4. นักลงทุนทั่วไปในประเทศ  (Local Investors)
นักลงทุนต่างประเทศ  (Foreign Investors) ขายไปแล้วเกือบ 2 แสนล้านบาท ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2555 นัเป็นต้นมา กลงทุนต่างประเทศก็ขายมาตลอด ปัจจุบันการขายชะลอลงแล้ว และมีการกลับเข้ามาซื้อบ้าง จากกราฟด้ายล่างกำลังหันหัวกลับ ใครที่ติดตามเรื่อง Fund Flow ก็ต้องคอยลุ้นกันต่อละครับ





สถิติ Market Cap และ. Total Shared Volume และ Total Value เทียบกับ Closed Price ของ SET ตั้งแต่ ปี 2552-2557 (วันที่ 14 มีนาคม 2557)

สถิติ Market Cap และ. Total Shared Volume และ Total Value  เทียบกับ Closed Price ของ SET ตั้งแต่ ปี 2552-2557 นับถึงวันที่ 14 มีนาคม 2557 ปรากฏว่า  ณ นับถึงวันที่ 14 มีนาคม 2557  ราคา SET closed price อยู่ที่ 1372 จุด มีมูลค่าประมาณ Market cap 12 ล้านล้านบาท และมีจำนวนหุ้นประมาณ 8,300 ล้านหุ้น

15 มีนาคม 2557

สถิติ ค่า P/E Ratio หรือ Market Price / Earnings per Share เทียบกับ Closed Price ของ SET ตั้งแต่ ปี 2552-2557 (วันที่ 14 มีนาคม 2557)

มาดูสถิติ ค่า P/E Ratio หรือ Market Price / Earnings per Share เทียบกับ Closed Price ของ SET ตั้งแต่ ปี 2552-2557 (วันที่ 14 มีนาคม 2557) เป็นอย่างไรบ้าง ครับ

13 กุมภาพันธ์ 2557

100 อันแรกในหลักทรัพย์ที่มี Market Capital สูงที่สุด ปี 2552-2557 (ระหว่างวันที่ 01/01/2009 ถึง 12/02/2014) ข้อมูล ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557


RankSymbolHighLowClose% ChangeMarket Cap.(M.Baht)P/E* (Times)P/BV* (Times)Dividend Yield (%)
1PTT38714129367.43836,895.798.211.284.44
2ADVANC31171214169.18636,242.4017.7117.235.09
3PTTEP<XD>199.580.515242.06603,437.789.661.673.95
4SCB199.548.75150210.88509,111.8810.572.173
5SCC50294420307.77504,000.0014.233.223.69
6KBANK22540.25170277.78406,854.2310.31.951.76
7CPALL525.4538.75530.08348,095.1830.9213.122.32
8BBL23766179159.42341,682.889.371.193.63
9PTTGC81.7553.2574N/A333,654.839.211.454.59
10AOT22514.8176.5875.14252,142.6115.422.752.61
11KTB27.753.5817.7395.1247,376.28101.254.11
12INTUCH99.751674.25375.96238,076.7116.5311.865.09
13DTAC13325.599209.38234,413.2920.776.95.11
14CPF42.253.127.25756.92210,995.1738.031.984.04
15BAY38.758.3533.25257.53201,965.2813.81.682.41
16BGH17716.3121572.22187,440.5729.994.831.48
17CPN59.255.839.25448.95176,154.0031.175.121.18
18BIGC25230187388.89154,275.0024.824.491.18
19MAKRO50.73.231.5833.33151,200.0036.3812.481.98
20TOP87.2521.554128.81110,161.518.931.215
21TRUE11.40.877.4506.08107,523.59N/A21.5-
22IVL61.59.722.1N/A106,395.0955.311.831.63
23BEC79.517.752162.63104,000.0019.41144.33
24TMB3.080.432.38303.39103,783.0557.271.731.38
25GLOW86.517.369206.67100,937.69142.593.06
26BTS9.651.358.3487.5398,888.117.831.64.41
27LH14.12.59.3147.3493,241.0714.452.914.84
28MINT29.755.4122.9218.8691,631.0424.573.941.29
29HMPRO14.480.639.21,342.3488,223.8729.427.390.3
30SCCC504125359167.9182,570.0017.24.473.62
31BLA79.251466N/A79,979.2419.073.641.09
32TUF7817.7667.5274.1777,462.5829.232.043.11
33BJC92.754.0647.51,081.5975,545.9631.035.391.77
34BANPU86.818.926.7517.3272,692.5518.0916.73
35RATCH64.53349.7516.3772,137.5010.81.314.56
36SCBLIF1,210.001451,048.00627.7869,692.0015.436.544.3
37IRPC6.651.763.352.7867,433.581,172.040.92.42
38EGCO16764.5126.584.6766,597.829.060.984.74
39DELTA54.5952.25328.2865,175.6912.692.734.59
40BH9517.287310.3863,384.7727.637.062.07
41TRUEIF10.19.459.65N/A56,047.20N/AN/A-
42JAS100.297.751,994.5955,314.8118.424.863.23
43BTSGIF13.27.99.05N/A52,381.40N/A0.81-
44ROBINS83.755.646.25711.451,368.0824.824.771.95
45SCIB32.56.524.2243.2651,130.02111.1-
46M55.54049.75N/A45,066.0422.463.77-
47THCOM41.52.8391,244.8342,741.5644.312.921.03
48PS35.53.6218.8329.2241,789.258.71.852.66
49CENTEL43.252.8630880.3940,500.0022.764.191
50TCAP50.256.831.5346.8140,251.224.210.834.71
51GLOBAL27.251.0515.3N/A39,982.2344.863.940.1
52CIMBT3.660.521.88117.2239,639.5735.381.860.27
53BCP40.257.0528.5267.7439,242.317.681.154.39
54TTW11.63.629.4124.8837,506.0014.573.426.38
55VGI14.284.769.9N/A33,976.5428.8619.32.3
56KKP71.259.839.5287.2533,140.007.430.985.44
57EA9.855.98.85N/A33,010.501587.740.11
58BLAND2.30.161.54541.6731,791.5911.820.681.95
59TISCO60.758.638.5N/A30,823.936.941.445.67
60THAI57.256.3514.181.9430,777.08N/A0.53.55
61TF19844.216825030,240.0019.493.221.88
62TCIF15913.3N/A29,432.90N/A14.610.33
63STPI25.51.6919.8987.9529,253.3917.45.511.26
64SPALI241.7417790.0529,181.4110.672.343.82
65TLGF16.11112.2N/A28,514.85N/A1.094.33
66HEMRAJ4.940.452.92394.9228,339.1410.132.393.77
67BKI456124367195.9527,910.3515.851.293.27
68TPC40.511.931152.0327,125.009.461.735.81
69WHA43.759.1728.75N/A26,392.28132.899.030.24
70CK29.52.8815.4325.4125,449.813.391.572.27
71BECL4714.632.7589.3125,217.505.131.114.58
72CPNRF19.996.6815.398.2625,035.80N/A1.886.95
73TRIF16.59.8315.5N/A24,629.50N/A9.330.65
74MBK188.549129.5161.6224,427.475.271.474.69
75QH4.90.652.64204.2524,245.157.351.464.55
76PSL22.59.722.3104.5923,181.3143.921.481.35
77LPN282.0815.7620.1823,168.477.72.554.84
78SSC3007.2585.51,010.3922,734.49N/A2.882.92
79TPIPL17.42.511.2254.4322,612.8031.880.390.89
80ESSO14.63.56.521.522,495.58N/A0.920.77
81STEC34.751.8814.6682.1222,266.5616.413.20.17
82ICBCT301.8614566.6722,260.0340.231.62-
83AEONTS12319.988.5293.3322,125.009.062.673.39
84RAM2,0005041,810248.0821,720.0027.324.180.66
85KSL16.55.912.4110.1721,137.6212.471.712.82
86HANA28.59.6525.515520,524.4110.521.285.88
87EASTW15.82.5612.3327.0820,463.8215.232.663.58
88DCC67.7510.349.75364.9520,298.0015.227.396.39
89MCOT56.7511.729126.5619,925.8811.882.637.93
90EARTH8.8526.651,008.3319,661.0615.514.741.33
91TTCL57.254.235N/A19,600.0026.8791.57
92BMCL1.720.380.94141.619,270.00N/A80.75-
93AAV7.93.043.9N/A18,915.0015.40.99-
94TCCC34.54.131.75493.4618,564.678.42.564.41
95SVH26848.25185230.3618,500.0018.253.522.3
96SIRI5.40.341.93423.6718,455.676.861.167.7
97MEGA22.117.820.6N/A17,824.1230.43N/A-
98ITD9.481.853.6670.6317,789.3320.831.61-
99PB65.75839.540017,775.0019.414.672.41
100SAMART30.75516.7209.2616,735.0012.042.813.55